“นักวิชาการ” ชี้ไทยบอดใบ้ มองไม่เห็นการเอาเปรียบแรงงานพม่า

อ.เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ระบุ ไทยบอดใบ้ทั้งระบบ ราชการ-ทุนธุรกิจมองไม่เห็นการเอารัดเอาเปรียบแรงงานต่างชาติ ประเมินพม่าปรับขึ้นค่าแรง 200 บาท/วัน แรงงานพม่าในไทยแห่กลับประเทศอื้อ แนะทางรอดธุรกิจ ต้องคิดสร้างสรรค์-ค้นหานวัตกรรมเข้าช่วย
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสถานการณ์ด้านแรงงานภายหลังการเยือนแรงงานพม่าในประเทศไทยของนางอองซาน ซูจีว่า การที่นางอองซาน ซูจี กล้าพูดกับแรงงานพม่าในเมืองไทยให้รู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเอง ดูแลความสงบ เคารพกฎหมายไทย ป้องกันไม่ให้นายจ้างเอาเปรียบ พร้อมทั้งเดินทางเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อให้ดูแลแรงงานพม่านั้น สะท้อนถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม และความรักต่อประชาชนพม่า
“ถามว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตีของไทย เมื่อไปเยี่ยมเยือนแรงงานไทยในต่างประเทศ เช่นที่ออสเตรเลียกล้าพูดเช่นนี้หรือไม่ ขณะเดียวกันกฎหมายไทย ธุรกิจไทย ราชการไทย เคารพต่อมาตรฐานสากลเพียงใด”
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวต่อว่า จากประสบการณ์ที่ทำงานเกี่ยวกับด้านแรงงาน พบปัญหาเรื่องการเอาเปรียบแรงงานต่างด้าวมีอยู่จริง แต่ประเทศเราบอดใบ้กันทั้งระบบ ไม่ว่าจะราชการ ทุนธุรกิจก็มองไม่เห็นการเอารัดเอาเปรียบที่มากเกินไป ทั้งที่ประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเกาหลีใต้ สิงค์โปร์ หรือไต้หวัน ซึ่งเริ่มมีการพัฒนาในเวลาไล่เลี่ยกับไทย ค่าจ้างขยับขึ้นไปเป็นเท่าไหร่แล้ว
“ระบบธุรกิจบ้านเราไม่เคยทบทวนตัวเอง ธุรกิจหลักเกือบจะไม่มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative Ideas) เติบโตขึ้นมาได้ โดยใช้ค่าแรงต่ำมาโดยตลอด นายจ้างเคยชินกับการใช้แรงงานราคาถูก และเมื่อไม่สามารถจ่ายค่าจ้างต่ำๆ ให้คนไทยได้ จึงหันไปเอาเปรียบแรงงานต่างชาติทุกระดับ ซึ่งก็เป็นการเอาตัวรอดแบบธุรกิจ ขณะที่แรงงานต่างด้าวนั้นก็ยินดีให้กดค่าแรง เพราะถูกขู่ กลัวว่าจะถูกส่งกลับประเทศ เนื่องจากแรงงานพม่าที่จดทะเบียน มีไม่ถึงครึ่งของจำนวนแรงงานพม่าในประเทศไทยทั้งหมด”
อาจารย์เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวประเมินสถานการณ์การไหลกลับประเทศของแรงงานพม่าในไทยว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับคำพูดของนางอองซาน ซูจีในการเยือนไทยครั้งนี้ เพราะปัจจัยสำคัญอยู่ที่การพัฒนาเศรษฐกิจของพม่า ซึ่งถ้ามีการพัฒนาในเร็ววันนี้ และหากค่าจ้างในพม่าไม่ห่างจากประเทศไทยมากนัก แค่ประมาณวันละ 200 บาทก็เชื่อว่า แรงงงานพม่าจะเดินทางกลับประเทศหมด เพราะได้อยู่ในบ้านของตนเอง ถึงค่าจ้างจะต่ำกว่าไทย แต่อัตราค่าครองชีพในพม่าก็น่าจะพอดีกัน อีกทั้งแรงงานในพม่าขณะนี้กำลังเรียกร้องให้มีการปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นเท่าตัว มีการเปิดโอกาสให้มีการตั้งสหภาพแรงงาน เพื่อเรียกร้องค่าจ้าง ส่วนแรงงานพม่าในประเทศไทยนั้น ไม่สามารถตั้งสหภาพฯ เพื่อเรียกร้องใดๆ ได้
เมื่อถามถึงทางออก การปรับตัวของธุรกิจไทย เพื่อรองรับการไหลกลับประเทศของแรงงานพม่า รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจในบ้านเรานั้น ทำไมต้องพึ่งค่าจ้างถูกอย่างเดียว ญี่ปุ่นค่าจ้างสูงกว่าไทย 10 เท่า สิงคโปร์ค่าจ้างสูงกว่าไทย 8 เท่า ไต้หวัน 6-7 เท่ายังสามารถพัฒนาได้ ฉะนั้น เส้นทางในการพัฒนา นอกจากค่าแรงขั้นต่ำที่ต้องมีแล้ว ยังต้องอาศัยนวัตกรรม (innovation) การคิดค้นของฝ่ายทุน ฝ่ายรัฐบาลประกอบเข้าไปด้วย

