ทีดีอาร์ไอ แนะรัฐเก็บกระสุน รับวิกฤตกรีซขยายวงกว้าง

ดร.สมชัย วิเคราะห์ ศก.อเมริกา จะไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว "ยุโรป" วิกฤตค่อนข้างแรงลงลึกระดับโครงสร้าง มองอนาคตไม่สดใส แนะจับตาจีน ลุ้นฟองสบู่แตกหรือไม่ หลังสัญญาณศก.ชะลอตัว การลงทุนลด ราคาบ้านตก เงินทุนไหลออก
เมื่อเร็วนี้ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยเศรษฐกิจมหภาค สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในเวทีสัมมนาเรื่อง "SMEไทยในยุควิกฤตแรงงาน" ซึ่งจัดโดยธนาคารกรุงเทพ และชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2555 โดยฉายให้เห็นปัจจัยในระยะยาวที่กำหนดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของเศรษฐกิจโลก ยุโรป จีน จนมาถึงประเทศไทย
ดร.สมชัย กล่าวถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยตั้งคำถามจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้จริงหรือไม่ ปีนี้ และอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ขณะที่สหรัฐฯ เข้าสู่สถานการณ์วิกฤตมากกว่า 5 ปีแล้ว ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอยู่ในช่วง bottom out ต่อไป และไม่น่าที่จะแย่ไปมากกว่านี้แล้ว
"ข้อสรุปเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เป็น Growth engine หรือแปลได้ว่า สหรัฐจะไม่เป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า แต่อย่างน้อยก็ที่เราหวังได้ คือไม่เป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจโลก"
ส่วนเศรษฐกิจในยุโรป วิกฤตที่ค่อนข้างรุนแรง ดร.สมชัย กล่าวว่า เป็นวิกฤตระดับโครงสร้างมากกว่าวิกฤตซับไพร์มในสหรัฐฯ (Subprime crisis) เหตุที่เป็นเช่นนั้น ด้วยระบบเศรษฐกิจยุโรปมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าสหรัฐฯ มีการผูกขาดกันมากกว่า การเมืองติดหล่มง่าย และมีสวัสดิการสังคมสูง ประกอบประชากรสูงอายุจำนวนมาก ทำให้อนาคตไม่ค่อยสดใสมากนัก
ขณะที่เศรษฐกิจจีน ผอ.วิจัยเศรษฐกิจมหภาค ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า จากการสอบถามคนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประเทศไหนเป็น Super power ในโลกนี้ เกินครึ่งตอบว่า จีน ไม่ใช่สหรัฐฯ แม้แต่คนอเมริกาเอง ดังนั้น อะไรจะเกิดขึ้นกับจีน คนทั้งโลกจึงต้องจับตามากกว่าในสหรัฐ และยุโรป
"สัญญาณเศรษฐกิจจีน ชะลอตัวแน่นอนในปีนี้ การลงทุนลดลง ราคาบ้านเริ่มตก เงินทุนไหลออก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี ที่ผ่านมาจีนเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า ดูดเงินเข้าตลอด รวมถึงอัตราการใช้ไฟฟ้าก็ไม่ขยายตัว บางช่วงติดลบด้วยซ้ำ เหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"ดร.สมชัย กล่าว และว่า จากนี้ไปทุกวันทุกนาที ต้องจับตาดูจีนจะเป็นอย่างไร เพราะกรณีฟองสบู่แตกที่สหรัฐฯ หรือที่ไทย ต้องมาลุ้นกันฟองสบู่จะแตกที่จีนหรือไม่
สำหรับประเทศไทย ดร.สมชัย กล่าวถึงการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ซึ่งกลายเป็นต้นทุนทางธุรกิจนั้น แม้ในระยะแรก 7 จังหวัดนำร่อง จะไม่ส่งผลต่ออัตราการว่างงานมากนัก แต่เชื่อว่า ปี 2556 การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากัน ทั่วประเทศอาจทำให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น โดยเฉพาะแรงงานปลายแถวในพื้นที่ที่ห่างไกล และแรงงานใหม่
"น่าเป็นห่วงการขึ้นค่าจ้างทั่วประเทศ 300 บาท ปี 2556 นับเป็นการกระจายไปยังพื้นที่ไม่ขาดแคลนแรงงาน บวกกับค่าครองชีพก็ไม่ได้สูง ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาทันทีสำหรับธุรกิจในพื้นที่จะสามารถแบกรับต้นทุนตรงนี้ได้หรือไม่ ประกอบกับมีตัวเลขคนที่ได้ 300 บาทนั้นเป็นลูกจ้างที่อยู่ในภาคทางการ ไม่ใช่นอกระบบ ซึ่งคนจำนวนนี้มีแค่ 25% ส่วนลูกจ้างนอกระบบมีถึง 75%"
ผอ.วิจัยเศรษฐกิจมหภาค ทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงนโยบายประชานิยมที่มีการกล่าวอ้างว่า การที่รัฐบาลทำนโยบายประชานิยมนั้น เงินจะไปสู่คนระดับรากหญ้า และคนส่วนนี้จะนำเงินมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งหากเทียบประชานิยมพรรคเพื่อไทย กับพรรคไทยรักไทย ประชานิยมรอบนี้ของเพื่อไทย กระตุ้นเศรษฐกิจสู้สมัยไทยรักไทยไม่ได้เลย
"ประชานิยมรอบใหม่ของเพื่อไทย เงินเข้ากระเป๋าคนรากหญ้าไม่เยอะ เมื่อเทียบกับสมัยไทยรักไทย ไม่ว่า จะนโยบายการรับจำนำข้าว ใช้เงินกว่า 1 แสนล้านบาท ตกถึงมือชาวนาจริงๆ แค่ 17% เท่านั้น 83% ตกอยู่ในมือของคนที่ไม่ใช่รากหญ้า นั่นหมายความว่า การกระตุ้นการบริโภคไม่สูงนัก"
อย่างไรก็ตาม นโยบายประชานิยมอื่นๆทั้งบ้านหลังแรก รถคันแรก หรือพักหนี้ดี ดร.สมชัย กล่าวว่า ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับคนรวยและคนชั้นกลาง ซึ่งคนจนจริงๆ เข้าไม่ถึงนโยบายเหล่านี้ ขณะที่การใช้งบประมาณขาดดุลของภาครัฐ ถือว่า ขาดดุลเร็วเกินไป มากเกินไป หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่ผ่านวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มาแล้ว โดยเชื่อว่า ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายประชานิยม และเหตุการณ์น้ำท่วมปนเข้ามาด้วย
"ตัววัดอนาคตข้างหน้า หากเรายังเป็นอย่างนี้อยู่ ภาครัฐจะมีเงินในกระเป๋าน้อยลงๆ หรือวิกฤตกรีซขยายวงกว้างขึ้น ไทยจะมีปัญหาทันที ถามว่า ภาครัฐของไทยมีกระสุนในมือเท่าไหร่ จะมาช่วยพยุงสถานการณ์ให้มั่นคงได้"
