'พรชัย' กล้าเอากระพรวนผูกคอแมว เสนอวิธีคัดสรร ส.ส. 'ผู้เสียภาษี มีสิทธิ์เลือกตั้ง'

วันที่ 27 มิถุนายน สถาบันพระปกเกล้า จัดสัมมนา "การเมืองการปกครองไทย 2555 : 80 ปี ประชาธิปไตยไทย" ณ ห้องนนทรี โรงแรมทีเค พาเลซ โดยในช่วงบ่าย มีการอภิปราย ในหัวข้อ "การพัฒนาระบบคัดสรรบุคลากรเข้าสู่การเมืองการปกครองไทย" โดยมี ผศ.ดร.มานวิภา อินทรทัต อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร และ รศ.พรชัย เทพปัญญา อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า ร่วมอภิปราย
ผศ.ดร.มานวิภา กล่าวถึงการคัดสรรสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ว่า ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ 2540 ส.ว. ได้มาจากระบบการสรรหาอย่างเดียว โดยคณะกรรมการสรรหา จากนั้น ในรัฐธรรมนูญปี 2540 เห็นว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย การที่มาของ ส.ว. นั้นไม่มีความชอบธรรม จึงเปลี่ยนที่มาโดยให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง จำนวน 200 คน จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งและการสรรหา
"ตามหลักการของการสรรหาแล้ว คณะกรรมการสรรหานั้นต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ น่าเชื่อถือและเป็นกลาง แต่ในทางปฏิบัตินั้น คณะกรรมการสรรหาไม่มีความหลากหลาย ภาคประชาชนไม่มีส่วนร่วม ไม่มีการตรวจสอบกระบวนการโดยสาธารณชน รวมถึงมีระบบอุปถัมภ์เฉพาะกลุ่มเกิดขึ้นด้วย ทำให้เกิดคำถามว่า ส.ว.มีความหลากหลาย มีความเป็นอิสระ ปลอดจากการเมือง ปลอดจากอคติ และเป็นกลางจริงหรือไม่ ทั้งๆ ที่เราต้องการส.ว.ที่ยึดหลักธรรมาภิบาล" ผศ.ดร.มานวิภา กล่าว และว่า ดังนั้น ไม่ว่า ส.ว.จะมีที่มาจากการเลือกตั้งหรือการสรรหา สิ่งสำคัญคือ 3 ส่วน ได้แก่ ระบบบริหาร ระบบนิติบัญญัติ และระบบตุลาการต้องมีความสมดุลกันและกันเพื่อให้เกิดสันติภาพ
ผศ.ดร.มานวิภา กล่าวถึงการทำวิจัยพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ยังต้องการ ส.ว. เพื่อเข้ามาทำหน้าที่เสนอและกลั่นกรอง กฎหมาย ช่วยตรวจสอบบริหารงานรัฐและองค์กรอิสระแต่งตั้งและถอดถอน หรือเราต้องการ ส.ว.มาถ่วงดุลอำนาจในรัฐสภา และสร้างสังคมที่เป็นธรรมเท่าเทียม ดังนั้น อาจต้องกลับไปทบทวนว่า หากอยากได้ ส.ว.เพื่อทำหน้าที่เหล่านี้แล้วนั้น วิธีการคัดสรร ส.ว. ควรต้องเป็นอย่างไร
"สังคมปัจจุบัน ไม่เคลียร์ ไม่แคร์ ไม่แชร์ และไม่แฟร์ ดังนั้น ส.ว.ต้องเข้าไปช่วยทำอย่างไรให้สังคมมีความเท่าเทียมกัน มีความเป็นธรรม ซึ่งท่านได้ไปช่วยหรือเปล่า ท่ามกลางสังคมที่แตกแยกเช่นนี้ ขณะเดียวกันประเทศไทยไม่ได้อยู่แค่นี้ ต่อไปเราจะเป็นอาเซียน ส.ว.มีความเข้าไทยประเทศไทย เข้าใจเรื่องของโลกหรือไม่"
ขณะที่ รศ.พรชัย กล่าวถึงการเมืองไทยไม่สามารถเอาคนที่มีคุณภาพเข้าระบบการเมืองได้ โดยปัจจัยหนึ่งมาจากวิธีการคัดสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. เนื่องจากที่ผ่านมาการเลือกตั้งส.ส. เป็นแบบระบบปิด ปิดประตูล็อก ประชาชนถูกภาพมายาหลอกลวง เลือกได้เฉพาะผู้ที่พรรคการเมืองกำหนดมาให้เท่านั้น ฉะนั้นจึงทำให้การคัดสรรคนมีคุณภาพลำบาก การคัดสรร หรือสรรหาจึงเป็นเรื่อง "เพ้อเจ้อ" อย่าได้คิด มันไม่เวิร์คอยู่แล้ว
สำหรับระบบการเลือกตั้งของไทย รศ.พรชัย เปรียบเหมือนการเอาคนมาใส่ในถังมาให้เลือก ถามว่าคนไทยมีความสุขหรือไม่ ที่จะเลือกคนที่คัดมาเรียบร้อยแล้ว ประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือกคนที่อยากจะเลือกได้
"นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องหัวคะแนน ที่เป็นระบบที่เลวร้าย ชั่วร้ายที่สุด ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพราะประชาชนจะมีความสัมพันธ์กับหัวคะแนนในระบบอุปถัมภ์ ดังนั้นต้องแก้ที่การเลือกตั้งของไทยที่เป็นระบบปิดและซื้อเสียงผ่านหัวคะแนน จึงจะได้ผล" รศ.พรชัย กล่าว และว่า ประเทศไทยมีวัฒนธรรมอุปถัมภ์ คนไทยต้องการให้รัฐบาลมาอุปถัมภ์ เลือกพรรคที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วสามารถทำอะไรให้ได้บ้าง ดังนั้นจึงทำให้นโยบายประชานิยมใช้ได้ผลเป็นอย่างดี
รศ.พรชัย กล่าวถึงแนวคิดการการคัดสรร ส.ส. ควรต้องมีการกำหนดคุณสมบัติคนที่มีสิทธิเลือกตั้งใหม่ที่สะท้อนสภาพที่เกิดขึ้นจริงในสังคม คือให้ผู้เสียภาษีเท่านั้น มีสิทธิ์เลือกตั้ง ฉะนั้นคนที่เสียภาษีจึงเหมาะสมที่จะมีตัวแทนไปบริหารบ้านเมือง ซึ่งถามว่า เกณฑ์นี้มีใครกล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมว กล้าเสนอแนวคิดนี้หรือไม่ โดยตนเชื่อว่า การเลือกตั้งในประเทศไทยจะสะท้อนความเป็นจริงขึ้นมาได้มาก สังคมไทยจะเลิกมองระบบการเมืองแบบทุเรศทุรังเสียที
"ผมเสนอแนวทางคัดสรรใหม่ จำนวนส.ส.แบ่งเขต 250 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 250 คนรวม 500 คน วิธีการคัดสรร แบบบัญชีรายชื่อต้องสังกัดพรรค ให้ประชาชนเลือก โดยใช้เขตประเทศในการเลือกตั้ง ส่วน ส.ส.จากระบบคนเดียวเขตเดียว ก็ให้เลือกกันทั้งประเทศทำให้เป็นเขตเลือกตั้งเดียวกันหมด คนเดียวเสียงเดียวเลือกคนที่ดีที่สุด แล้วนำคะแนนมาเรียงลำดับ 1-250 และต้องกำหนดให้ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมืองด้วย ทั้งหมดเชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาหัวคะแนนได้ ทุจริตเลือกตั้งน้อยลงได้ "
ทั้งนี้ ในช่วงท้าย ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า กล่าวสรุปว่า ขณะนี้เรากำลังก้าวสู่กระแสโลก ซึ่งสิ่งที่ท้าทายคือเรามีการปรับตัวและเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ และเรามีการอภิบาลร่วมกันแล้วหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ ต้องกลับมาคิดว่าวิถีไทยเป็นวิถีประชาธิปไตยแล้วหรือยัง
"เราพบว่าสถาบันการเมือง พลเมืองและชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างประชาธิปไตย โดยที่การเลือกตั้งต้องเป็นประชาธิปไตยและโปร่งใส การคัดสรรต้องมีธรรมาภิบาล ขณะเดียวกันประชาธิปไตยต้องควบคู่กับธรรมาภิบาล เพราะที่ผ่านมาทั้งสองอย่างอยู่คนละมิติกัน แต่ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องสร้างวิถีไทยให้กลายเป็นวิถีประชาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบบอุปถัมภ์ที่จะเป็นตัวทำให้เราแตกหักกันได้"
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:
รธน.-ระบบการเมืองใหม่ ต้องย้อน...กลับไปไกลถึงไหน จึงเหมาะ ? http://isranews.org/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99/58-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99/7378--2550-the-study-of-problem-for-new-political-system-.html
