สกว.จับมือกสิกรผุดโครงการ“เพาะพันธุ์ปัญญา”ต่อยอดยุววิจัยนำร่อง 8จ. 80รร.

ธนาคารร่วมกับ สกว.ทุ่มงบ 80 ล้าน เปิดโครงการเพื่อพัฒนาการศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์ หวังสร้างยุววิจัยปีละ 3200 คน ควบคู่กับสร้างเครือข่ายครูที่มีทักษะด้านการวิจัย 320 คน
วันที่ 4 กรกฎาคม ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดงานแถลงข่าว โครงการ “เพาะพันธุ์ปัญญา” โดยมี นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย และ ศ.ดร.สวัสดิ์ ตันตระรัตน์ ผู้อำนวยการ สกว. ร่วมแถลง ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ ราษฎร์บูรณะ
ศ.ดร.สวัสดิ์ กล่าวว่า กระบวนการการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่เกิดขึ้นระหว่างการทำวิจัยของนักเรียน ได้ปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมให้เยาวชนกลับมาสนใจชุมชนของตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ สกว. ได้นำการวิจัยลงไปสู่เด็กนักเรียน ระดับ มัธยมศึกษา เพื่อปลูกฝังทักษะและทัศนคติของการใช้ความรู้และข้อมูล ในการตัดสินใจเรื่องต่างๆให้แก่เยาวชน ภายใต้แนวคิดของ กระบวนการวิจัยเป็นกระบวนการเรียนรู้ ที่ทำให้นักเรียนได้สัมผัสของจริง และเป็นการบ่มเพาะทักษะที่จำเป็นสำหรับสังคมความรู้ โดยการสร้างวิทยาศาสตร์ในตัวตั้งแต่วัยเด็กเพื่อที่จะสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างรู้เท่าทัน
“สกว.พบว่า เด็กที่ผ่านกระบวนการยุววิจัยได้ถูกหล่อหลอมให้เป็นเด็กที่มีคุณธรรม มีจิตสำนึกและสามารถค้นพบตัวเอง อาทิ โครงการยุววิจัยยางพารา ที่เด็กได้หยิบเรื่องราวของอาชีพในครอบครัวมาศึกษา โดยอาศัยทักษะวิชา ฟิสิกส์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ในเชิงวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามงานวิจัย ขณะที่งานวิจัยเศรษฐกิจชุมชน ทำให้เด็กได้เห็นโอกาสเศรษฐกิจและอาชีพในท้องถิ่น ได้เรียนรู้และเข้าใจ มิติด้านเศรษฐศาสตร์และการบริหารธุรกิจ กระทั่งเกิดแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอาชีพในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีงานยุววิจัยเกี่ยวประวัติศาสตร์ท้องถิ่น นั้นที่ผ่านมามีผลต่อความทรงจำร่วมและการกระชับความสัมพันธ์ของคนในชุมชน” ศ.ดร.สวัสดิ์ กล่าว และว่า เพื่อเป็นการต่อยอดโครงการยุววิจัย จึงทำให้เกิด โครงการ เพาะพันธุ์ปัญญา ที่จะช่วยให้เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ในสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการทำงานร่วมกับครูและนักเรียน
ศ.ดร.สวัสดิ์ กล่าวต่อว่า แนวทางที่จะขับเคลื่อนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญานี้ จะทำให้เกิดผลอย่างรูปธรรมนั้น ควรทดลองในพื้นที่ที่จำกัดขอบเขตดีกว่าจะหว่านทั่วๆไป ดังนั้น โครงการนี้จะเป็นการวางระบบนำร่องกับโรงเรียนและครูในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ พะเยา ลำปาง อุบลราชธานี ศรีสะเกษ นครปฐม สมุทรสงคราม นครศรีธรรมราช และสงขลา มีโรงเรียนเข้าร่วมประมาณ 80 โรงเรียน โดยมีมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเข้าร่วมดำเนินการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยศิลปากร
ทั้งนี้ สำหรับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายจะเน้นไปที่ระดับมัธยมศึกษา ทั้งในสายวิทยาศาสตร์ และสายสังคมศาสตร์/ศิลปศาสตร์ ซึ่งนักเรียนที่ผ่านการพัฒนาทักษะการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยการวิจัย (Research-based Learning) จะสามารถรวมกลุ่มยุววิจัย ร่วมกันศึกษา วิจัยเกี่ยวกับชุมชนหรือเรื่องที่สนใจ ใน 3 กลุ่มประเด็น คือ เศรษฐกิจชุมชน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และวิทยาศาสตร์สร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายว่า จะสามารถสร้างยุววิจัยได้ไม่น้อยกว่าปีละ 3,200 คน ได้ผลงานวิจัยของยุววิจัย 600 - 800 ชิ้นต่อปี มีโรงเรียนที่มีทีมครูที่สามารถจัดการสอนแบบโครงงานบนฐานวิจัยไม่น้อยกว่าปีละ 80 โรงเรียน และมีเครือข่ายครูที่มีทักษะการจัดการเรียนรู้ด้วยการวิจัย (RBL) ประมาณ 320 คนต่อปี
ด้าน นายบัณฑูร กล่าวว่า การพัฒนาผ่านกระบวนการศึกษา เป็นกลไกพื้นฐานทางความคิด โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนให้มีคุณภาพและคุณธรรมด้วยกระบวนการวิจัยที่มีระบบ ทั้งนี้ใช้หลักการคิดการพัฒนาจากเครือข่ายครูที่เข้มแข็งควบคู่กันไป เพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
“ในขณะที่ สกว. ได้มีการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง โดยกระบวนการเหล่านี้จะช่วยปฏิรูปความคิดของเยาวชน สร้างทักษะความคิดที่มีระบบ ปลูกฝังสำนึกที่ดีและความรักความผูกพันในวิถีชุมชนตนเอง ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตตามหลักคุณธรรม และหากได้รับการส่งเสริมความรู้และทักษะทางการเงินที่ดีจะช่วยให้สามารถคิดและวางแผนเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนได้เป็นอย่างดีเพื่อให้เยาวชนก้าวไปสู่ความสำเร็จเคียงคู่ชุมชนที่ยั่งยืนต่อไป”
นายบัณฑูร กล่าวด้วยว่า โครงการ “เพาะพันธุ์ปัญญา” จะใช้เงินทุนสนับสนุนในการดำเนินโครงการจากธนาคารกสิกรไทย 40 ล้านบาท และสกว. 40 ล้านบาทรวมเป็นเงิน 80 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 6 ปี ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันของทั้งสององค์กรในการต่อยอดความคิดของเยาวชน อีกทั้งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการศึกษาอื่น ๆ ให้ตระหนักถึงและช่วยเร่งให้เกิดกระบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ในระบบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงกับตัวครูและส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กนักเรียนได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการ
