อึ้ง! 4 ล้านครอบครัวไทยวนเวียนอยู่กับอบายมุข 50% ซื้อหวยประจำ

มีแต่ทรงกับทรุด นักวิจัยเผยครัวเรือนไทย 4 ล้านครอบครัวเล่นพนัน "ภาคใต้" ครองแชมป์สูงสุด กางตัวเลขชัดๆ วงการพนันปี'53 เม็ดเงินสะพัด 3.5 แสนล้านบาท คอหวยจ่ายเกินครึ่ง
วันที่ 5 กรกฎาคม สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. จัดเสวนาเรื่อง “หยุดพนัน...หยุดภัยร้ายในสังคมไทย” ณ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข โดยช่วงแรก ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอผลงานวิจัยสถานการณ์สุขภาวะของครอบครัวไทยระหว่างปี 2552 ถึงปี 2554 โดยศึกษาครอบครัวไทยทั่วทุกภาคของประเทศจำนวน 4,000 ครอบครัวต่อปี
อึ้งครอบครัวไทยวนเวียนอยู่กับอบายมุข
ทั้งนี้ ผลวิจัยพบว่า ในปี 2554 ครอบครัวไทยที่มีสมาชิกเล่นการพนันเป็นประจำอยู่ที่ร้อยละ 26.7 หรือประมาณ 4 ล้านครอบครัวจากจำนวนครอบครัวไทยทั้งหมด 15 ล้านครอบครัว ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนถือว่าสถานการณ์มีแต่ทรงกับทรุด ครอบครัวไทยยังวนเวียนกับอบายมุข โดยเฉพาะการพนันที่จูงใจให้ติดได้ง่าย แต่เลิกยาก
“ขณะเดียวกันหากจำแนกการเล่นการพนันตามภูมิภาคจะพบว่า ครอบครัวในภาคใต้นิยมเล่นการพนันมากที่สุด ร้อยละ 41.8 รองลงมาคือภาคอีสาน ร้อยละ 36.5 ส่วนประเภทการพนันนั้นพบว่า ร้อยละ 55.1 หรือกว่า 8 ล้านครอบครัว ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นประจำ ร้อยละ 51.2 หรือกว่า 7.7 ล้านครอบครัวมีสมาชิกซื้อหวยใต้ดินเป็นประจำ ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐ ไม่ควรออกนโยบายสนับสนุนการออกลอตเตอรี่รัฐบาล หรือหวยออนไลน์ เพื่อกระตุ้นให้คนไทยติดการพนันมากขึ้น” ดร.วิมลทิพย์ กล่าว
จากนั้นมีการเสวนาเรื่อง “พนันติดง่าย เลิกยาก” โดย นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศาสนติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข น.ส.ศิริพร ยอดกมลศาสตร์ ศูนย์วิจัยปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการพนัน ร่วมเสวนา
น.ส.ศิริพร กล่าวถึงสถานการณ์การพนันในประเทศไทยว่า มีการขยายตัวค่อนข้างมาก ในปี 2553 วงการพนันมีเม็ดเงินสูงถึง 357,000 ล้านบาท โดยหวยใต้ดินมีสัดส่วนเงินพนันมากสุดอยู่ที่ 102,000 ล้านบาท รองลงมาคือสลากกินแบ่ง 76,000 ล้านบาท พนันในบ่อน 46,000 ล้านบาท กีฬาพื้นบ้าน อาทิ ไก่ชน 45,000 ล้านบาท และพนันบอลจำนวน 38,000 ล้านบาท (ปีดังกล่าวไม่มีทัวนาเมนท์ใหญ่)
ขณะเดียวกันพบว่า ครอบครัวที่เล่นพนันมีปัญหาหนี้สินสูงขึ้น ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวตามมา ทั้งการหย่าร้าง การขายที่ดิน ปัญหาการพนันจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่พบว่าการพนันพื้นบ้านขยายตัวโดยไม่มีการควบคุม
ติดพนันโรคที่ต้องได้รับการบำบัด
ด้าน นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า ในทางสุขภาพจิต ผู้คนสามารถมีพฤติกรรมเสพติดเกิดขึ้นได้ เช่น เสพติดการพนัน เสพติดอินเตอร์เน็ต เสพติดการกิน หรือเสพติดการช็อปปิ้ง โดยพฤติกรรมเสพติดของคนกลุ่มนี้เกิดจากการที่สมองส่วนอยาก ถูกกระตุ้นด้วยความพึงพอใจหรือความตื่นเต้น จนมีผลไปควบคุมสมองส่วนคิด แม้รู้ว่ากระทำดังกล่าวไม่ดี แต่ก็ยังคงทำพฤติกรรมเช่นเดิม โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยล่อแหลม พัฒนาการของสมองด้านการใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจยังไม่สมบูรณ์
นพ.ยงยุทธ กล่าวถึงการเสพติดการพนันด้วยว่า ถือเป็นโรคอย่างหนึ่งที่ผู้เสพติดจะต้องได้รับการบำบัดจากมืออาชีพและเป็นไปตามกระบวนการ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะสามารถหลุดออกจากวงจรพนันได้อย่างถาวร ไม่กลับไปอีก ขณะเดียวกันเมื่อปัจจุบันการเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมและวัยรุ่น ประเทศไทยควรมีระบบการบำบัดแบบสมัครใจ ควบคู่ไปกับระบบบำบัดแบบบังคับเกิดขึ้น เพราะหากปล่อยให้แนวโน้มผู้เสพติดการพนันเพิ่มขึ้น การควบคุมจะเป็นไปได้ยาก
ถ่ายทอดประสบการณ์ติดพนัน
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวที มีตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากการเสพการพนันมาถ่ายถอดประสบการณ์ เช่น น.ส.แหม่ม (สงวนชื่อ-สกุล) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการติดการพนันของสามี จนทำให้ครอบครัวแตกแยก หย่าร้าง และมีหนี้สิ้นจำนวนมาก โดยเงินออมที่เก็บไว้เพื่อใช้จ่ายด้านการศึกษาและคุณภาพชีวิตที่ดีของบุตร ต้องหมดไปกับหนี้พนัน
ขณะที่นายไข่ (นามสมมุติ) นักศึกษามหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 2 มีประสบการณ์เล่นพนันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พนันบอล เดิมพันเป็นข้าวกลางวันจานเดียว จากนั้นก็เล่นต่อมาเรื่อยๆ และมาติดหนักในช่วงที่มีการพนันออนไลน์ เพราะสามารถเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมแสดงความเห็นว่า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปมีผลทำให้ติดการพนันง่ายยิ่งขึ้น
