นักลงทุนคิดแล้ว! การเมืองไม่นิ่ง คือความเสี่ยงระยะยาวของภาคธุรกิจ

ประธานสภาอุตฯ ย้ำอยากเห็นประเทศมีทางออกที่ดี หลังหมกมุ่นปัญหาการเมืองเรื้อรังหลายปี แนะไทยควรใช้เวลานี้เตรียมตัว ปรับตัว รับมือวิกฤตศก.โลก น่าจะเหมาะสมกว่า
วันที่ 11 กรกฎาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา "วิกฤตเศรษฐกิจยุโรปและจีน ... ผลกระทบเศรษฐกิจโลกและภาคการส่งออกไทย" ณ โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ ปาร์ค โดยมีนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมของไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการรับมือกับวิกฤติของเศรษฐกิจยุโรปซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกของไทย ซึ่งถือว่าการส่งออกเป็นเสาหลักเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 65 ของจีดีพี
"สหภาพยุโรปถือเป็นตลาดหลักของคู่ค้าไทย ทั้งจีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อาเซียน ซึ่งเมื่อประเทศเหล่านี้ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปได้ลดลง จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป จากไทยไปผลิตต่อเพื่อส่งออกสินค้าสำเร็จรูปไปสหภาพยุโป ซึ่งส่งผลต่อการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปจากไทยก็จะลดลงด้วยเช่นกัน"นายพยุงศักดิ์ กล่าว และว่า เราต้องมองไปข้างหน้า ทั้งระยะกลางและระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งภาคเอกชน สถาบันการเงิน หน่วยงานราชการ รวมถึงรัฐบาลด้วย
สำหรับแนวโน้มในการปรับลดเป้าหมายในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนนั้น นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่ายังไม่เกิดการวิกฤตแต่ก็ส่งผกระทบต่อโลกได้ รวมถึงไทยด้วย เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกที่มีศักยภาพสูงของไทย โดยปีที่ผ่านมาไทยส่งออกไปจีน มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 ของการส่งออก ดังนั้นแล้ว ทั้งเศรษฐกิจยุโรปและจีนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรศึกษาและเข้าในใจวิกฤตอย่างลึกซึ้ง เพื่อเตรียมการรับมือและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ ประธาน ส.อ.ท. กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมกับทางรัฐบาลในการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปที่ผ่านมาด้วยว่า ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการทั้งหมด 5 คณะ โดยจะให้ความสำคัญในส่วนของ ระเบียบ กฎระเบียบ รวมถึงเรื่องของภาษี ที่ภาคเอกชนยังตัดขัดและให้รัฐบาลช่วยแก้ไข ซึ่งก็หวังว่าจะได้รับการแก้ไข และสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้
หวั่นปัญหาการเมืองบั่นทอนขีดความสามารถ
ทั้งนี้ นายพยุงศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับความเห็นต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 13 กรกฎาคม ด้วยว่า ในแง่ของภาคเอกชนนั้นก็อยากให้เป็นไปตามเหตุผลและเกิดความสร้างสรรค์ในสังคม หลังจากประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองเรื้อรังหลายปี ซึ่งก็มีหลายคนคิดว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นตัวบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย พร้อมมองว่า ไทย น่าจะใช้เวลานี้ในการเตรียมตัว ปรับตัวเพื่อรับมือทางเศรษฐกิจโลกล่วงหน้ามากกว่า
"เรายังต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอีกมากมายในอนาคต ซึ่งขณะนี้ขีดความสามารถที่เราพอมีอยู่คงยังไม่เพียงพอคงต้องมีการพัฒนาไปข้างหน้า
เมื่อถามถึงสัญญาณจากนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน แต่ในช่วงหลัง นอกจากเรื่องของความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติแล้ว นักลงทุนเริ่มมีการตระหนักถึงความนิ่งของระบบการเมืองที่มองเป็นความเสี่ยงระยะยาวของธุรกิจ ทั้งนี้ ยังรวมถึงเรื่องความเสี่ยงด้านกฎหมาย และการบริหารประเทศ ที่จะต้องมีความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจและการค้าขาย กับการบริหารประเทศด้วย
"ยังไม่อยากคาดการณ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในเบื้องต้นทางภาคธุรกิจกำลังขะมักเขม้นในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ เพราะว่าหากการค้าขาย หรือธุรกิจไม่ดี ก็จะมีผลกระทบต่อการจ้างงาน และรายได้ของคนทำงาน และท้ายสุดก็จะมีผลกระทบต่อเรื่องของภาษีของคนทั้งประเทศ ก็อยากให้เรื่องพวกนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เนื่องจากเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนั้น ต่างประเทศเองก็ให้ความสนใจว่าเราเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น คิดว่าน่าจะมีการแก้ไขที่ดีและมีทางออกที่สร้างสรรค์มากกว่า"
