รอด 2 เด้ง ผู้ตรวจฯชี้ “ปู” ไม่ผิดคุยนักธุรกิจโฟร์ซี่ซั่น-ทำคลอดบ้านหลังแรก

ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยุติพิจารณาคำร้อง 'ยิ่งลักษณ์' ควง 'กิตติรัตน์' คุยนักธุรกิจโฟร์ซี่ซั่น ช่วงประชุมสภาฯ ระบุไม่พบหลักฐานฝ่าฝืนจริยธรรมข้าราชการการเมือง ส่วนกรณีนโยบายบ้านหลังแรก ก็ยุติเช่นกัน เผย นายกฯเคลียร์ชัด ลาออกจากผู้บริหาร บ.เอสซีแอสเสทฯ แล้ว
วันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 09.00 น. นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และโฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงผลการวินิจฉัยการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน 2 กรณีคือ
เรื่องที่ 1 กรณีนายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ และคณะ ยื่นเรื่องร้องเรียนนายกรัฐมนตรี กรณีไม่เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยเดินทางไปทำกิจธุระส่วนตัว ในช่วงเวลาที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และเป็นการกระทำที่อาจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 และกรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ไปพบนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในเวลาราชการโดยเป็นการหารือที่ไม่เปิดเผยและเลือกหารือเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด อันอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกระบวนการกำหนดนโยบายของรัฐบาล และเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้ข้อมูลภายในไปแสวงหาประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องซึ่งเป็นการกระทำที่อาจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551
รวมทั้งกรณี นางกาญจนี วัลยะเสวี และคณะ ยื่นเรื่องร้องเรียนนายกรัฐมนตรีว่าการไปพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นอาจเป็นเรื่องที่ขัดต่อจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 279 ประกอบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551ข้อ 6 (3) (4) (9) ข้อ 10 ข้อ 14 และข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2553 ข้อ 24
นายรักษเกชา กล่าวว่า จากการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า 1.กรณีการร้องเรียนว่า นายกรัฐมนตรีไม่เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555 นั้น เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการชี้แจงของนายกรัฐมนตรีว่า การประชุมในวันดังกล่าว ช่วงแรกของการประชุมยังไม่มีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องชี้แจงต่อที่ประชุม และเมื่อมีงานในความรับผิดชอบที่ต้องเร่งรัด ติดตามการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จึงมิได้อยู่ร่วมในห้องประชุมสภาฯ ในช่วงต้นของการประชุม แต่เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจจึงได้เดินทางกลับ เพื่อร่วมรับฟังและสอบถามเกี่ยวกับประเด็นที่มีการอภิปรายอยู่ในสภาฯ ทั้งได้ลงชื่อการประชุมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กรณีดังกล่าวจึงยังไม่อาจถือได้ว่า นายกรัฐมนตรีขาดประชุมตามระเบียบว่าด้วยการลาการประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2548 ยังมิอาจถือได้ว่ามีพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551
2.กรณีร้องเรียนว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปพบนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยมีนายกิตติรัตน์ ร่วมเดินทางไปด้วย ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานจากคำร้องเรียนและจากการชี้แจงข้อเท็จจริง ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่ชี้ชัดว่า มีการกระทำที่เป็นการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจหรือมีการกระทำที่นำไปสู่การได้ประโยชน์ของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จึงยังมิอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551
3.กรณีร้องเรียนว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าอาจเป็นเรื่องในทางชู้สาว จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ สืบพยานแวดล้อมแล้วเห็นว่า สถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่เปิดเผยและมีผู้ร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีหลายคน ประกอบกับไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่ามีการกระทำส่อไปในทางชู้สาว จึงมิอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกันว่า เมื่อข้อเท็จจริงจากการพิจารณาสอบสวนยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีตามคำร้องเรียนนี้เป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา
เรื่องที่ 2 กรณีนายวิรัตน์ กัลป์ยาศิริ ร้องเรียนว่า นายกรัฐมนตรีได้ปฏิบัติผิดมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นการกระทำผิดร้ายแรงขัดต่อรัฐธรรมนูญและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551
นายรักษเกชา กล่าวว่า จากการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงสามารถสรุปได้ว่า 1. เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านโยบายบ้านหลังแรก ตามคำร้องเรียนนี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 กรณีตามคำร้องเรียนนี้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้เป็นการกระทำที่เข้าลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 13 (1) หรือ (2) หรือไม่
“ข้อเท็จจริงพบว่า กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการนำนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติโดยเสนอมาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและมีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติสำหรับกรณีดังกล่าวรวมถึงการกำหนดมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0726/ล.1462 ลงวันที่ 19 กันยายน 2554) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554
ต่อมากระทรวงการคลังมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค 0701 / 16315 ลงวันที่ 22 กันยายน 2554 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้คณะรัฐมนตรีชะลอการดำเนินการตามมติการประชุมไว้ก่อนเนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดทำแนวปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถครอบคลุมถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลได้
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 กระทรวงการคลังมีหนังสือด่วนที่สุดที่ กค 0726/ล.1516 เสนอมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเป็นครั้งที่ 2 โดยมีสาระสำคัญในประเด็นที่มีการร้องเรียนตามคำร้องเรียนนี้ กล่าวคือ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย จึงเห็นควรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้น จึงเห็นว่าการกำหนดมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลตามคำร้องเรียนนี้ ที่กำหนดให้มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นการริเริ่มและเสนอโดยกระทรวงการคลังมาตั้งแต่ต้น
3. ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งการมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจะต้องมีระบบรายงานการดำเนินกิจการของบริษัทต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่าได้ลาออกจากตำแหน่งบริหารในบริษัทดังกล่าวแล้ว และไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดังนั้น โดยสถานะทางกฎหมายแล้วนายกรัฐมนตรีและบริษัทฯ จึงไม่มีความเกี่ยวข้องต่อกัน ประกอบกับเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงทางธุรกิจเกี่ยวกับส่วนแบ่งทางการตลาดที่บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ปรากฏว่า บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีโครงการที่อยู่ในข่ายจะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว จำนวน 9 โครงการ จากทั้งหมด 38 โครงการ มีจำนวนยูนิตที่มีราคาขายไม่เกิน 5 ล้านบาท จำนวน 409 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการเพียงร้อยละ 4.39 ของมูลค่าโครงการที่เปิดขายในปี 2554 ถึง 2555 และคิดเป็นร้อยละ 0.16 ของจำนวนยูนิตบ้านจัดสรรและอาคารชุดที่ราคาขายไม่เกิน 5 ล้านบาท ในครึ่งปี พ.ศ. 2554 (ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์)
นอกจากนี้ ในการขายขึ้นอยู่กับผู้บริโภคที่จะซื้อบ้านโดยสามารถตัดสินใจได้โดยอิสระว่าจะเลือกซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยในโครงการใดไม่อาจบังคับชักจูงให้ผู้ซื้อเลือกซื้อโครงการใดโครงการหนึ่งเป็นการเฉพาะได้ แต่จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้นภาพรวม ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พบว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดย บลจ. แอสเซทพลัส จำกัด มีสัดส่วนการถือหุ้นจำนวนร้อยละ 0.85 ของจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้น จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการถือหุ้นดังกล่าวของผู้ถูกร้องเรียนเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้จำเป็นต้องพิจารณากฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นของรัฐมนตรีประกอบด้วย เมื่อพิจารณาจากพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันและความในมาตรา 3 ของพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับกรณีของนายกรัฐมนตรีด้วย โดยความนัยตามมาตรา 4 (2) บัญญัติว่ารัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้...(2) ในบริษัทจำกัดหรือมหาชนจำกัด รัฐมนตรีเป็นผู้ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น ดังนั้น จึงเห็นว่ากรณีการถือหุ้นของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังกล่าว ยังไม่เป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกันว่า เมื่อข้อเท็จจริงจึงยังไม่อาจสรุปได้ว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา
ทั้งนี้ นายรักษเกชา กล่าวด้วยว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีหนังสือผลการวินิจฉัยดังกล่าว แจ้งให้นายกรัฐมนตรี และผู้ร้องทั้ง 2 กรณีทราบแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวถามในช่วงท้ายว่า มีผู้มองว่าผู้ตรวจการฯ ไม่ได้ทำประโยชน์เท่าที่ควร ไม่จำเป็นต้องมีองค์กรอิสระนี้อีกต่อไป โฆษกผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ต้องถามว่าผู้ตรวจฯ ไม่เป็นประโยชน์กับใคร ที่ผ่านมาผู้ตรวจการฯ นั้นก็มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ล่าสุด เช่นเรื่องการแยกจ่ายภาษีของสามี ภรรยา หรือย้อนไปไกลกว่านั้นก็เช่น พ.ร.บ.นามสกุล ที่ให้หญิงที่แต่งงานสามารถใช้นามสกุลของตนเองได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งสิ้น อีกทั้งสำนักงานผู้ตรวจการฯ ก็มีการตั้งขึ้นเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานของรัฐบาล ดูแลปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่จำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลอาจดูแลไม่ทั่วถึง
