นักวิชาการชี้ต่างชาติระบุ น้ำท่วมไทยไม่เกี่ยวโลกร้อน “สุดขั้ว” ไป

นักวิชาการ หนุนผลการศึกษาต่างชาติ ระบุน้ำท่วมไทยมาจากบริหารผิดพลาด 60% แจงภัยธรรมชาติก็มีส่วน เตือนสร้างกำแพงกั้นน้ำ ระวังซ้ำรอยนิวออร์ลีนส์ 2005
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวกับศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา ถึงผลการวิเคราะห์ผลกระทบทางธรรมชาติอันเกิดจากภาวะโลกร้อน ฉบับวันที่ 13 ก.ค. ขององค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) ที่ออกมาระบุว่าเหตุอุทกภัยในประเทศไทย เมื่อปลายปี 2554 เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดความผิดพลาดในการวางนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่ภัยธรรมชาติที่เกิดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ว่า การเกิดอุทกภัยปีที่แล้วนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยเดียว มีสาเหตุจากการบริหารจัดการน้ำผิดพลาด และฝนตกหนัก
"ประเทศไทยไม่เคยเจอฝนตกหนักขนาดปีที่แล้ว พายุเข้าถึง 5 ลูก ส่วนที่ระบุว่า เกิดความผิดพลาดในการบริหารก็ต้องผิดพลาดอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายถึงขนาดนี้หรือ"
รศ.ดร.เสรี กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่สหรัฐฯ ออกมาระบุนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่การที่จะบอกว่า น้ำท่วมในไทยไม่เกี่ยวกับข้องกับภาวะโลกร้อนเลย ส่วนตัวเห็นว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถพูดได้ชัดเจน เพราะถ้าในระยะ 2-3 ปีนี้ประเทศไทยยังคงเกิดเหตุอุทกภัยขึ้นอีก ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกร้อน แต่ถ้าไม่เหตุอุทกภัยเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องอากาศแปรปรวน
เมื่อถามว่าสำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดอุทกภัยปี 2554 นั้น ที่ผ่านมาได้มีการหารือในที่ประชุมของ กยน.บ้างหรือไม่ รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า คณะกรรมการ กยน.แต่งตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ 1.ค้นหาความจริงของสาเหตุอุทกภัย และ 2.หาแผนป้องกันอุทกภัยปี 2555 ซึ่งตามภารกิจแล้วควรจะมีการค้นหาความจริง แต่เนื่องจากต้องจัดแผนฉุกเฉินปีนี้เสียก่อน จึงยังไม่ได้มีการค้นหาความจริงเกิดขึ้น พร้อมกันนี้ได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ถ้าจะมีการค้นหาความจริงเกิดขึ้น หน่วยงานราชการด้วยกันเองจะกล้าให้ข้อมูลหรือไม่
ตั้งข้อสังเกตุโลกร้อน ลาว เขมร พม่า ไม่กระทบ
ขณะที่ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับลาว เขมรและพม่า ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับประเทศไทยแล้ว หากเป็นปรากฏการณ์ที่มาจากภาวะโลกร้อน จะต้องได้รับผลกระทบทั้งหมด แต่ประเทศไทยกลับกระทบหนักอยู่ประเทศเดียว อย่างไรก็ตามผลการศึกษาดังกล่าวอาจ "สุดขั้ว" เกินไป
"สถานการณ์น้ำท่วมในปีที่ผ่านมา แม้ว่าปริมาณน้ำฝนจะมากกว่าปกติในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เกินกว่าที่นักวิชาการคาดไว้ อยู่ในวิสัยที่เข้าใจได้ ดังนั้น ผมเห็นด้วยว่า ผลการศึกษาก็มีส่วนจริงประมาณ 60% มาจากการวางนโยบายและการบริหารจัดการ แต่อีก 40% ก็มาจากภาวะอากาศที่แปรปรวนและภัยธรรมชาติด้วย"
ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวถึงสาเหตุที่องค์กรการบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐระบุในงานวิจัยเช่นนั้น อาจเพราะพิจารณาข้อมูลพายุเพียงอย่างเดียวจึงคิดว่า ธรรมชาติไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าใดนัก แต่เนื่องจากปีที่แล้วพายุเป็นปัจจัยที่ทำให้ร่องฝนแช่ในประเทศไทยนานขึ้น ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะแจงว่า พายุมี 5 ลูก แต่มีเพียง 2 ลูกเท่านั้นที่ประเทศไทยรับเต็มๆ เช่นเดียวกันในปีนี้ สิ่งที่น่าห่วงกังวลที่สุด คือ พายุ ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญของภัยพิบัติ
รับมือภัยพิบัติปีนี้ บางจุดแย่กว่าเดิม
สำหรับความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติปีนี้ ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า ไม่แตกต่างจากปีที่แล้วมากนัก มีบางจุดอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากงบประมาณลงไปในส่วนซ่อมสร้างเฉพาะหน้า ยังไม่ได้วางระบบความปลอดภัยใหญ่ๆ อีกทั้ง ประเทศไทยระบบยังไม่มีความพร้อมในการจัดการพิบัติภัยขนาดใหญ่ จัดการได้แค่พิบัติภัยฤดูกาล ซึ่งปีที่ผ่านมาก็เห็นความล้มเหลวตั้งแต่ต้นจนจบ
"การวางระบบจัดการน้ำที่น่าจะแย่กว่าเดิม คือ การสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วม ทั้งอุตสาหกรรมและการยกถนน มาตรการเหล่านี้หากเสร็จทันจะเป็นกับดักแก่สังคมไทยในอนาคต เพราะเป็นการป้องกันที่ไม่ได้มองว่าฝนมาจากฟ้า มองเพียงมิติเดียวว่า น้ำมาจากเหนือ ฉะนั้น หากเจอพายุเข้ามาตรงๆ ก็อาจจะเหมือนกรณีที่เมืองนิวออร์ลีนส์ โดนพายุเฮอริเคนแคทรีนาพัดถล่ม เมื่อปี 2005"
