“อาศิส” แนะทางใช้การศึกษาดับไฟใต้ เล็งจับมือมาเลย์ตั้งมหาวิทยาลัย

จุฬาราชมนตรี เผยคุย “มหาธีร์” เตรียมจับมือตั้งมหาวิทยาลัยในภาคใต้ รอท่าที ศธ.ไฟเขียวสนับสนุน ประสานความร่วมมือมาเลย์ ดร.สุรินทร์ ปลุกมุสลิมปรับตัว ยืนแถวหน้าอย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีอาเซียน
วันที่ 18 กรกฎาคม นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเฉลิมฉลองวาระ “72 ปีปอเนาะบ้านตาล เส้นทางมุสลิมไทยสู่ประชาคมอาเซียน” ที่อิมแพค เมืองทองธานี ตอนหนึ่งว่า ประชาคมมุสลิมที่เติบโตในประเทศไทยนั้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภาคใต้ ภาคกลาง พื้นฐานอารยธรรมส่วนมาจากปอเนาะทั้งสิ้น ซึ่งจากประสบการณ์ที่ได้เรียนปอเนาะมาเช่นกันพบว่า ปอเนาะเป็นสถาบันที่มีคุณค่า หล่อหลอมคนให้เติบโตตามความต้องการของสังคมมุสลิม และสร้างความงดงามให้กับสังคมไทยมาโดยตลอด
“ผู้ที่ผ่านสถาบันปอเนาะ ส่วนใหญ่จะกลับไปเป็นผู้นำสังคมในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ทั้งผู้ใหญ่บ้าน ครู มีส่วนร่วมในการพัฒนาบ้านเมือง สร้างความดีงามให้กับบ้านเมือง ตัวอย่างเช่น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่เติบโตมาจากปอเนาะ ก่อนออกสู่สังคมวงกว้าง ได้รับการศึกษาการพัฒนาจนกลายเป็นผู้นำทางสังคม การเมือง ความคิดในประเทศไทย กลายเป็นคนระดับแนวหน้า ระดับอินเตอร์ที่โลกรู้จัก เห็นได้ว่า ปอเนาะได้สร้างคุณูปการให้กับสังคมไทยมาช้านาน”
จุฬาราชมนตรี กล่าวถึงปัจจัยใหญ่ที่สุดที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันว่า มีอยู่ 2-3 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือปัญหาเรื่องความไม่รู้ ซึ่งการที่จะเอาชนะ แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาคใต้ หรือปัญหาอื่นใดก็ตาม จุดเริ่มต้นที่เป็นพื้นฐานสำคัญคือ การให้ความรู้ การศึกษา เพื่อยกระดับสถานะ สมรรถภาพของประชาคมมุสลิมไทยให้อยู่อย่างเท่าเทียมกับคนอื่นในสังคม
“สำนักจุฬาราชมนตรี ตระหนักถึงความสำคัญการศึกษา จึงมีแนวคิดที่จะตั้งมหาวิทยาลัยในภาคใต้ โดยร่วมมือกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้มีการหารือกับ ดร.มหาเธร์ บิน โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งท่านมีการตอบรับและพร้อมจะให้ความร่วมมือ สนับสนุนในทุกเรื่องเพื่อยกระดับการศึกษาของเยาวชนในภาคใต้ แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่า รัฐบาลไทยจะให้การสนับสนุน เห็นด้วยอย่างไรหรือไม่ ทั้งนี้ มาเลเซียระบุให้กระทรวงศึกษาของไทยประสานความร่วมมือกับกระทรวงการศึกษาของประเทศมาเลเซียในการดำเนินการดังกล่าว”
สำหรับการมีสถาบันการศึกษาสำหรับลูกหลานในภาคใต้นั้น นายอาศิส กล่าวว่า สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ และทำให้เข้าใจหลักของอิสลามในการดำรงอยู่รวมกับผู้อื่นที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ ทั้งด้านศาสนา วัฒนธรรม ภาษา ทั้งนี้ความไม่เหมือนของมนุษย์ไม่ใช่อุปสรรคต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งหลักการนี้คัมภีร์อัล-กุรอานได้บัญญัติเอาไว้เป็นเวลากว่า 300-400 ปีมาแล้ว หลักการนี้สมควรนำมาประกาศให้ทุกคนรับทราบว่า อิสลามยอมรับในเรื่องความแตกต่าง และอยู่ร่วมกับความแตกต่างได้อย่างสันติสุข
“ดร.มหาเธร์ เสนอแนะถึงการศึกษาให้กับคนในพื้นที่ภาคใต้ของไทยด้วยว่า ไม่ควรมุ่งแต่เรียนเรื่องศาสนาอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้สนใจการศึกษาด้านเทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้ล้าหลัง อ่อนแอ ฉะนั้นต้องส่งเสริมการศึกษาด้านเทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ เพื่อให้เกิดความเข้มแข้งพึ่งตนเองได้เข้าไปด้วย จะได้เป็นสังคมที่มีศักดิ์ศรี อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติเท่าเทียมกับคนอื่นในประเทศไทย” จุฬาราชมนตรี กล่าว พร้อมขอให้เลิกคิดในเรื่องของการก่อการร้าย ในเรื่องการที่จะไปทำร้ายคนอื่น เพราะมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายทั้ง 2 ฝ่ายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสังคมไทย
ทั้งนี้ จุฬาราชมนตรี กล่าวย้ำในช่วงท้ายด้วยว่า การแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาลนั้น ไม่มีวิธีการใดที่เป็นประโยชน์เท่ากับการส่งเสริมให้คนมีการศึกษา เพราะคนเมื่อได้รับการศึกษาจะได้เห็นเองว่า อะไรคือความถูกต้อง หรือสิ่งที่ควรจำเป็น อีกทั้งเมื่อมีการศึกษามากขึ้น จะพบกับความจริงว่า การดำรงอยู่อย่างแคบๆ ในมุมมืดของตนเองอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางโลกสมัยใหม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนที่อยู่ได้ต้องมีมิติที่กว้างขวางมีความรู้ทั้งเรื่องศาสนา และวิชาสามัญทั่วไป เพราะเป็นสายธารความรู้ที่จะทำให้เกิดพลัง อารยธรรมที่งดงาม
ด้าน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวถึงการเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียนในอีก 2 กว่าปีข้างหน้า ทำให้ เศรษฐกิจรวมของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจของอินเดียทั้งประเทศ และถ้าอาเซียนเปรียบเป็นประเทศก็จะร่ำรวยเป็นอันดับ 9 ของโลก ส่วนประชากรนั้นจะมีจำนวนถึง 600 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งเป็นมุสลิมและพูดภาษามลายู
“แต่คำถามที่ท้าทายคือประชาคมมุสลิมไทย จะอยู่ส่วนใดของอาเซียน เท่าๆ กับเพื่อนบ้าน กลางๆ หรือต่ำกว่า บริบทของสังคมรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยโอกาสใหม่และสิ่งท้าทายที่แหลมคม สังคมมุสลิมทุกระดับต้องเตรียมตัว ปรับตัวตาม แสวงหาประโยชน์จากโอกาสที่เปิดกว้าง และพร้อมที่จะพิทักษ์ไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของตนเอง และในฐานะที่เป็นมุสลิมและสมาชิกของประชาคมอาเซียน โดยมุสลิมต้องมีศักดิ์ศรี ความเชื่อมั่นในตัวเอง พร้อมยืนแถวหน้า ดังนั้น การตื่นตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่ใช่เป็นเมฆหมอกน้อยๆ คลื่นลูกเล็กๆ แต่เป็นสึนามิที่เคลื่อนมาทางทิศเรา ฉะนั้นการรวมตัวครั้งนี้เพื่อสันติภาพ เปลี่ยนภาพพจน์ของมุสลิมบนเวทีโลก”
