เสรีภาพสื่อ รธน.50 ดีอยู่แล้ว คนข่าวเห็นพ้องไม่ควรแตะ

"ปริญญา" ระบุเสรีภาพสื่อไทยใน รธน.ปี 50 เขียนไว้ดี-ไม่จำเป็นต้องแก้ บอกปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้ ด้าน "มานิจ" จี้ สื่อทำหน้าที่เรียกร้องให้ ปชช. ทำสิ่งถูกต้องชอบธรรม แก้ปัญหาสังคมศรีธนญชัย
วันที่ 26 กรกฎาคม สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดสัมมนาเนื่องในวาระครบรอบ 32 ปี หัวข้อ “เสรีภาพสื่อไทยในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมีนายมานิจ สุขสมจิตร ที่ปรึกษาสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายบุญเลิศ คชายุทธเดช สื่อมวลชนอาวุโส นายสุนทร จันทร์รังสี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2550 ดร.ปริญญา เทวนฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมสัมมนา
นายมานิจ กล่าวว่าในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้วางรากฐานในเรื่องรับรองสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน ตามตัวบทกฎหมาย ตามตัวหนังสือ แต่ในทางปฏิบัติพบการคุกคามสื่อจากรัฐบาล ผู้ลงโฆษณา และเจ้าของสื่อเอง ต่อมารัฐธรรมนูญปี 2550 ได้มีการรับรองสิทธิสื่อมวลชนเพิ่มเติม เช่น เรื่องการห้ามปิดหนังสือพิมพ์ สื่อวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วไม่มีการปิดสื่อ เนื่องจากมองว่าเป็นการฆ่ากันเจ็ดชั่วโคตร จึงใช้วิธีจัดการตามตัวบุคคล
“นอกจากนี้มาตรา 48 ได้ห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการสื่อ แต่ในทางปฏิบัติพบความพยายามในละเมิดอยู่ เช่น วิทยุ เคเบิลทีวี มีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องถือว่าธุระไม่ใช่ จนกลายเป็นเรื่องปกติของบ้านเมืองนี้ไปแล้วที่คนละเมิดกฎหมายบ่อยครั้ง”
หนุนแก้ รธน.แล้วให้สิทธิเสรีภาพสื่อมากขึ้น
นายมานิจ กล่าวถึงการที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญคุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อ ย่อมผูกพันคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญด้วย แต่เอาเข้าจริงก็ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งนั้น และเมื่อรัฐธรรมนูญไม่ใช่แก้วสารพัดนึก ต้องขึ้นอยู่กับคนด้วยว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ส่วนถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจริง โดยส่วนตัวเห็นในส่วนที่เกี่ยวกับเสรีภาพสื่อ ถ้าเผื่อแก้แล้วให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อมากขึ้น ก็แก้ได้ แต่ถ้าแก้ให้รัฐอยู่ได้นานๆ สื่อวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ก็อย่าแก้ เพราะจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออำนาจรัฐบาล ไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชน
ทั้งนี้ นายมานิจ กล่าวเพิ่มเติมถึงสภาพสังคมไทยในปัจจุบันด้วยว่า กลายเป็นสังคมที่ตามใจตนเองอย่างไม่มีขอบเขต เป็นศรีธนญชัยที่สุดในโลก ตีความสิ่งต่างๆ โดยไม่อยู่บนหลักการทางกฎหมาย ไร้ระเบียบวินัย จิตสำนึก ซึ่งเรื่องนี้เป็นความหนักใจอย่างมาก ดังนั้น สื่อจึงต้องทำหน้าที่เรียกร้องให้ประชาชนทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพต้องผนึกกำลังเป็นกลุ่มก้อน ให้แข็งแรงเพียงพอที่จะไปต่อสู้ภายนอกได้
“ไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็พยายามลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อ สมัยเป็นฝ่ายค้านก็เชียร์สื่อ แต่พอเป็นรัฐบาลก็เปลี่ยนจุดยืน ตรงนี้ต้องคว่ำบาตร นอกจากนี้หากพบเห็นคนทำดีควรต้องสรรเสริญ ส่งเสริมให้ได้ปกครองบ้านเมือง อย่าให้คนชั่วร้ายมีอำนาจ” นายมานิจ กล่าว
สื่อกระบอกเสียงให้ประชาชน จริงหรือ
นายบุญเลิศ กล่าวว่าในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีเรื่องเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพสื่อ 4 มาตรา และขณะนี้ใช้บังคับมาเป็นปีที่ 5 ปี แต่คำถามคือเมื่อเสรีภาพสื่อได้รับการคุ้มครอง ปกปักษ์รักษา เอื้อประโยชน์ในการประกอบวิชาชีพ สื่อได้ให้ความรู้ ตรวจสอบภาครัฐ เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนอย่างไรบ้าง ซึ่งจากการตั้งข้อสังเกตพบวงการสื่อมีปัญหา ทั้งเรื่องการเกิดขึ้นของสื่อจำนวนมาก ไม่ว่าจะหนังสือพิมพ์ ทีวีอินเตอร์เน็ต ทีวีดาวเทียม รวมถึงสื่อการเมือง ซึ่งต้องมาคิดกันว่าเป็นสื่อตามหลักวิชาชีพหรือไม่ การที่รัฐบาลใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินปิดเว็บไซต์ สั่งการหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ ปัญหาการทำสงครามในวงวิชาชีพเดียวกันของสื่อ ทะเลาะกัน โจมตี กล่าวหากันอย่างรุนแรง
"นอกจากนี้การเกิดขึ้นของ พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ฯ ทำให้เกิดคณะกรรมการ กสทช. ที่เริ่มทำงานกันไปบ้างแล้ว มีอำนาจในหลายเรื่อง ซึ่งต้องรอดูกันว่าจะเกิดความเป็นธรรม เกิดเหตุขัดแย้งปั่นป่วน ประชาชนได้รับผลกระทบหรือไม่ เมื่อแผนแม่บทล้อมาจากรัฐธรรมนูญ"
นายบุญเลิศ กล่าวถึงการทำหน้าที่ตามวิชาชีพของสื่อนั้น ตนมองว่าวิชาชีพนี้ต้องการผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ ไม่ใช่ใครก็ได้มาทำ เพราะจะมีผลกระทบและทำให้วิชาชีพถูกลดระดับลง ดังนั้น การใช้เสรีภาพของสื่อในการนำเสนอ ต้องยึดหลักการเสนอความจริง รอบด้าน ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ช่วยกันทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น ก้าวข้ามหลุมดำของประเทศไปได้ ไม่ใช่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง
"การทำหน้าที่ของสื่อตามรัฐธรรมนูญปี 50 นั้น เมื่อมีมีองค์กร กลไกต่างๆ สื่อต้องทำหน้าที่ต่อไป แต่อยากให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ สำนึกในเสรีภาพ ไม่ฉีกข้อบังคับในเรื่องจริยธรรมทิ้ง ปราศจากอคติในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยมีองค์กรวิชาชีพเป็นตัวกลางเชื่อมร้อยสื่อทุกแขนง มีธงที่จะทำให้วงการสื่อ ช่วยฟื้นวิกฤตการณ์ของประเทศ สร้างสรรค์สังคมร่วมกัน และสร้างความเชื่อถือให้กับสื่อมวลชน"
อุดหนุนสื่อทางอ้อม ละเมิดรธน.
ด้านนายสุนทร กล่าวว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ดีกว่าฉบับปี 40 นิดหน่อยตรงที่กำหนดให้มีองค์กรอิสระใหม่ๆ ขึ้นมาคุ้มครองเสรีภาพมากขึ้น แต่ต่อให้เทวดามาร่างรัฐธรรมนูญ หากรัฐบาลยังไปสนับสนุน อุดหนุนหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่นๆ ด้วยการลงโฆษณา หรือให้เงินไปจัดงานอีเว้นท์ต่างๆ ในลักษณะสนับสนุนทางอ้อม เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับตนเอง รวมทั้งปัญหาเรื่องการหลุดผังของรายการวิทยุโทรทัศน์ ก็ถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ โดยผู้ที่รักษา และเมื่อคนควบคุมกำกับเลว ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
"ส่วนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสื่อ ถ้าจะแก้สามารถทำได้ ไม่ได้ขัดข้อง แต่ต้องแก้ในเรื่องที่ถูกต้อง และมีความชัดเจนว่าจะแก้เรื่องอะไร ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่าในประเด็นเรื่องการห้ามให้มีการควบรวมสื่อ ตามมาตรา 47 วรรคท้ายนั้น อยากให้ตัดทิ้ง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับภาวการณ์ในปัจจุบันที่เป็นยุคของการหลอมรวมสื่อ เราห้ามการไขว้สื่อไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงสูญสลายกันไปหมด"
สื่อต้องไม่ถูกชักจูง บิดเบือน ครอบงำ
ขณะที่ดร.ปริญญา กล่าวว่า หัวใจสำคัญในการให้เสรีภาพของสื่อมวลชนนั้นก็เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ถูกปิดหูปิดตา อีกทั้งประชาธิปไตยแบบสมัยใหม่มีประชากรจำนวนมากจึงต้องอาศัยสื่อมวลชน เพื่อทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ถูกชักจูง บิดเบือน ครอบงำ โดยผู้ที่มีอำนาจ
"แต่เมื่อสื่อมีเสรีภาพ ก็ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบควบคู่ไปด้วย และเมื่อไม่สามารถให้รัฐเข้ามาควบคุมสื่อได้ สื่อจึงต้องเข้ามากำกับควบคุมกันเอง โดยเฉพาะในปัจจุบันเมื่อข่าวเป็นสินค้า ต้องพึ่งโฆษณา การคุ้มครองเสรีภาพสื่อมวลชนจึงต้องคุ้มครองให้พ้นจากเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งเจ้าของสื่อซึ่งเป็นเอกชนด้วย แต่ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ปัจจุบันความเข้มข้น ความจริงจังในการดูแลกันเองของสื่อนั้นยังเกิดขึ้นน้อยกว่าคาดหวังของสังคม ในลักษณะที่ว่าแมลงวันไม่ตอมแมลงวัน ดังนั้น สมาพันธ์ฯ ควรเข้ามามีบทบาทตรงนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันการทำหน้าที่ของสื่อต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ศีลธรรมอันดีของประชาชน ควรนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา เห็นอย่างไร รายงานไปตามนั้น แต่ปัญหาของสื่อจำนวนหนึ่งคือกลายเป็นผู้เล่นและผู้กำกับเอง"
ดร.ปริญญา กล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ในมิติที่เกี่ยวกับเสรีภาพของสื่อ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญปี 50 เขียนไว้ดี ไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไข แต่ปัญหาคือเรื่องการบังคับใช้ จะทำอย่างไรให้เกิดการบังคับใช้อย่างจริงจัง
