“วสันต์” โอดศาล รธน.ยุคโลกาภิวัตน์ ถูกรุมด่ายับ ท้าเลือกตั้ง ตลก.

“หัสวุฒิ” ย้ำศาลตรวจสอบภายใต้กม.ไม่ได้ทำตามใจ “วสันต์” บอกศาลถูกข่มขู่ คุกคาม ตั้งคำถามบ้านเมืองนี้เป็นอะไร
วันที่ 27 กรกฎาคม ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูงรุ่นที่ 16 จัดเสวนาเรื่อง “ระบบงานยุติธรรมในยุคโลกาภิวัฒน์” ในงานสัมมนาวิชาการ บ.ย.ส.16 เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยมีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด และนายธานิศ เกศวพิทักษ์ รองประธานศาลฎีกา ร่วมเสวนา
นายวสันต์ กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญกับยุคโลกาภิวัตน์ว่า เกิดปรากฏการณ์ใหม่ทั้งขึ้นเวทีด่าศาล ข่มขู่ คุกคาม รวมถึงมีการแจกเบอร์โทรศัพท์บ้าน บุตรและภรรยา ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งใหม่และเริ่มลุกลาม ซึ่งผู้พิพากษาหลายคนไม่เคยพบอะไรเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ศาลอาญาเองก็น่ากลัว มีม็อบบุกเข้าไปถึงบัลลังก์พิจารณา ไม่รู้ว่าบ้านนี้ เมืองนี้เป็นอะไรกัน
“ยุคโลกาภิวัตน์สำหรับศาลรัฐธรรมนูญ คงมีอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้พบอีกระยะหนึ่ง และก็ไม่มีกฎหมายที่จะมาคุ้มครอง แต่อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้หวาดวิตกในการทำหน้าที่ เพราะเข้าใจดี”
นายวสันต์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีที่เป็นประโยชน์หลายคดี เช่น การแยกจ่ายภาษีของสามีภรรยา แต่ไม่ได้รับการสนใจเท่าที่ควร ต่างจากคดีที่เกี่ยวข้องทางการเมือง จนขณะนี้องค์กรตุลาการถูกกล่าวหาว่า มาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย แต่ไม่ได้มาจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ฉะนั้นถามว่า ตกลงจะเอาผู้พิพากษาจากการเลือกตั้งเลยดีหรือไม่ ใครเป็นความกับหัวคะแนนแพ้ให้หมด 15 ล้านเสียงฆ่าใครก็ได้แล้วเรียกว่าศาลประชาชนเอาหรือไม่ ส่วนถ้าใครอยากจะให้เมืองไทยมีลูกขุน ตนเชื่อว่าจะเกิดการวิ่งเต้นอย่างแน่นอน
ด้าน ดร.หัสวุฒิ กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีองค์กรตรวจสอบและศาลก็ถูกเลือกให้มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบอำนาจของตุลาการกับอำนาจที่องค์กรอื่นใช้นั้นต่างกันมาก ซึ่งส่วนตัวคิดว่าศาลไม่มีอำนาจที่จะใช้ได้ตามอำเภอใจ ทุกสิ่งต้องจำกัดอยู่ในข้อกฎหมาย
“ในการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายปกครองว่าเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่นั้น ถ้าให้ตรวจสอบกันเอง คงบอกว่าทำถูกต้องตามกฎหมายกันหมด ดังนั้นจึงต้องมีองค์กรศาลในการตรวจสอบ โดยต้องไม่อยู่ภายใต้อำนาจใดๆทั้งสิ้น เพื่อให้การตรวจสอบไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องแยกอำนาจรัฐออกเป็น 3 อำนาจ เพื่อไม่ให้มีการรวมศูนย์ในบุคคลหรือคณะใดคณะหนึ่ง เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ดร.หัสวุฒิ กล่าวและว่า ตุลาการต้องยึดหลักความเป็นกลาง ยุติธรรม เที่ยงธรรม และกล้าหาญ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ตุลาการไม่กล้าหาญเพียงพอ โอกาสที่คำวินิจฉัยจะเบี่ยงเบนไปได้ง่าย ทั้งนี้ มองว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประเทศนี้จะพูดถึงการคุ้มครองตุลาการ
นอกจากนี้ ดร.หัสวุฒิ กล่าวถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยว่า เป็นเรื่องที่สำคัญ และแม้องค์กรตุลาการเองก็ต้องมีการเตรียมการ โดยศาลปกครองได้มีการเตรียมการแล้วตั้งแต่ต้นปี เพราะเห็นว่าเมื่อเกิดข้อพิพาทคงจะต้องมีปัญหาตามมา โดยปัญหาหลักคือระบบวิธีพิจารณา เพราะแต่ละประเทศมีการพิจารณาต่างกัน ซึ่งเห็นว่าต้องมีการตกลงกันในเรื่องนี้ต่อไป และนอกจากนี้ปัญหาภายในของเราก็คือด้านของภาษา ที่ต้องมีกาเตรียมตัว แต่อย่างไรก็ตามตุลาการและเจ้าหน้าที่เองก็ควรต้องมีความรู้ด้านภาษาสำหรับสื่อสารกับชาวต่างประเทศที่เข้ามาในไทย
ขณะที่นายธานิศ กล่าวถึงผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อระบบงานยุติธรรมว่า มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด มีปัญหาเรื่องการค้าที่ผิดกฎหมายข้ามชาติ อาชญากรรมข้ามชาติ การก่อการร้าย โดยเฉพาะเมื่อรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน การเคลื่อนย้ายแรงงานและครอบครัวจะมีผลกระทบตามมาอีกมาก
“การจัดระบบยุติธรรมในยุคโลกาภิวัตน์นั้น ผมเห็นว่าจะต้องปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขยายความผิดฐานสมคบกัน นอกจากความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้สามารถดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อยับยั้งปราบปรามการกระทำความผิดข้ามชาติ ต้องเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับการริบทรัพย์ตามกฎหมายอาญาให้ครอบคลุมไปถึงการริบประโยชน์จากการคอร์รัปชั่นในเชิงนโยบาย การริบทรัพย์ตามมูลค่า เพราะเมื่อทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ได้มาจากการทุจริตถูกแปรเปลี่ยนไปแล้ว ควรติดตามไปยึดมาให้ทั้งหมด เพื่อตัดแขนตัวขาของผู้กระทำความผิด นอกจากนี้ต้องขยายขอบเขตของความผิดมูลฐานในกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และต้องให้มีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแบบกลุ่ม (Class-Action)”
สำหรับกฎหมายวิธีพิจารณาคดีแบบกลุ่ม รองประธานศาลฎีกา กล่าวว่า มีข้อดีที่สร้างความเข้มแข้งให้กับผู้เสียหาย เป็นมาตรการที่คุ้มครองผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่ได้รับความเสียหายแม้เพียงเล็กน้อยให้ได้รับการเยียวยาแก้ไขไปในทิศทางเดียวกัน ในทางกลับกันการดำเนินคดีแบบกลุ่มนี้จะทำให้ผู้ที่คิดฝ่าฝืนกฎหมายเกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด เพราะผู้เสียหายรวมตัวกันเป็นปึกแผ่น ถือเป็นสร้างธรรมาภิบาลในภาคเอกชน และโดยส่วนตัวเห็นว่า ถ้าใช้วิธีพิจารณาคดีแบบกลุ่มนี้ ปัญหาเรื่อง ‘จอดำ’ ที่พึ่งเกิดขึ้นผลคงไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังเช่นนี้
นายธานิศ กล่าวถึงการยกระดับมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมด้วยว่า ต้องมีการใช้นิติวิทยาศาสตร์เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงมากขึ้น รวมทั้งระดมบุคคลให้สหวิชาชีพเฉพาะทางเข้ามาเป็นส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนรวม อย่างไรก็ตามมีข้อพึงระวังด้วยว่า การนำหลักกฎหมายที่เคยใช้บังคับในต่างประเทศมาปรับใช้ในประเทศไทย โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดให้เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย แต่หลักสำคัญซึ่งเป็นเสาหลักจะต้องคงไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่เช่นนั้นหลักที่ดี ที่เคยใช้ได้ประโยชน์จะมาบั่นทอนโครงสร้างของระบบกฎหมายไทยได้
