อนาคตคนไทยเลือกได้ ดร.สมคิด ยันไม่ควรปล่อยตามยถากรรม -ไร้ยุทธศาสตร์

ปธ.สถาบันอนาคตไทยศึกษา จี้ รบ.ตัดสินใจครั้งใหญ่ เข้าสู่อนาคตยุคดิจิทัล ไอทีต้องชัดเจน รวดเร็ว ไม่ขะหยักขะหย่อน เชื่อประเทศไทยยังมีอนาคต แต่ต้องร่วมคิด-ขับเคลื่อน ใช้แนวคิดเก่าผสมใหม่ เป็นกลาง ไม่ฝักฝ่าย
วันที่ 31 กรกฎาคม ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานสถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundtion) กล่าวปิดงานสัมมนา Thailand Future Forum ในหัวข้อ "Thailand at the Crossroads : อนาคตไทย...เราเลือกได้" จัดโดยสถาบันอนาคตไทยศึกษา ณ ห้อง Grand Hall 1 ชั้น 2 โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวถึงความคิดยิ่งใหญ่ ความคิดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ซึ่งโลกที่ไม่มีความคิดใหม่ๆ จะหยุดนิ่ง นับวันมีแต่จะยิ่งถดถอย ด้อยพัฒนา ประเทศชาติบ้านเมืองก็เฉกเช่นเดียวกัน ประเทศใดยามที่รุ่งเรือง บ้านเมืองสมานฉันท์ อุดมด้วยปัญญา ประเทศนั้นก็มีแต่เจริญรุ่งเรืองอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมขอให้ดูตัวอย่างความสำเร็จของจีน ดูการพุ่งทะยานของเกาหลีใต้ ดูการปรับฐานเศรษฐกิจของบราซิล ดูการก้าวเข้าสู่ Global City ของสิงคโปร์ ทั้งหมดล้วนเริ่มมาจากความคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงประเทศให้ดีขึ้น
"ในประเทศและบ้านเมืองที่แตกร้าว ความคิดไม่มี ปัญญาไม่ปรากฏ หมกหมุ่น งมงาย ลุ่มหลงอยู่กับผลพวงแห่งความสำเร็จในอดีต วุ่นวายอยู่กับปัญหาเฉพาะหน้า ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ประเทศเหล่านั้นก็จะเริ่มหยุดนิ่งและถดถอย ให้เปรียบเทียบฟิลิปปินส์ในอดีตที่รุ่ง กับฟิลิปปินส์ในวันนี้ ให้ดูความตกต่ำของยุโรป ใครจะเชื่อว่าจะมีวันนี้ ให้ดูความวุ่นวายที่ตะวันออกกลางที่อุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน แต่ทุกวันนี้หาความสงบไม่ได้เลย ให้ดูความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ให้ดูการตกต่ำของญี่ปุ่น ใครจะเชื่อว่าจะมีอย่างวันนี้"
ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าวถึงประเทศที่เริ่มหยุดนิ่งและถดถอยดังกล่าวว่า ทั้งหมดมีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกัน คือ ความอ่อนด้อย การหยุดนิ่ง และความบกพร่องเชิงความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิดเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ
"ประเทศไทยนั้นถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ในหลาย 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยก้าวมาไกลมาก เป็นประเทศแนวหน้าในเอเชีย ไม่มีใครที่เกินหน้าเกินตาเราเกินไปนัก แต่ที่จริงแล้ว ผลพวงแห่งความสำเร็จของการพัฒนาก็ยังมีจุดอ่อน จุดด้อยที่เราต้องพัฒนา" อดีตรองนายกฯ กล่าว และว่า สมรรถนะของประเทศไทย ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องเติมเต็มให้เหมาะสม สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนของโลกในอนาคตข้างหน้า โดยอนาคตคนไทยนั้น เลือกได้ ฉะนั้นไม่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีความคิด ไม่มียุทธศาสตร์ ทั้งๆ ที่พายุกำลังจะมา โลกกำลังเปลี่ยน หรือจะเลือกคิดวันนี้ ขับเคลื่อนวันนี้ เปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีในอนาคตข้างหน้า ในยามที่เรายังเข้มแข็งอยู่
อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นานๆ ที่ภาคเอกชนจะยอมออกมา พูดจาชัดๆ สะท้อนความคิดดีๆ ให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นเป็นอย่างไร เราควรจะไปทางไหน ได้ยินได้ฟังนักธุรกิจรุ่นใหม่แล้ว เห็นว่าประเทศไทยมีอนาคตที่ดีมากๆ ด้วย ถ้าหากเรามีผู้นำภาคเอกชนที่มีความสามารถขนาดนี้ ประการแรกที่ภาคเอกชนเน้นย้ำคือ ภาครัฐมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ ต่อประชาชน
"ภาครัฐสำคัญที่สุด ประเด็นที่ว่าภาครัฐจะทำอย่างไรให้ตนเองให้มีสมรรถนะสูงสุด มีการกำกับที่มีธรรมาภิบาล ดูแลชี้นำพวกเขาไปสู่สิ่งที่ดี ซึ่งภาครัฐไม่ได้หมายเฉพาะรัฐบาล แต่หมายรวมนักการเมือง ส.ส. ส.ว.ทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ประเทศไทยนั้นมีศักยภาพสูงยิ่ง ฉะนั้น จะต้องเอาสติปัญหา เอาใจใส่กับสิ่งที่เป็นอนาคตของบประเทศ มากกว่าปัญหาความวุ่นวายเฉพาะด้าน มากกว่าประโยชน์เฉพาะตน สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่ง เรากำลังพูดถึงประเทศไทยที่มีประชากร 60 กว่าล้านคน เราเลือกนักการเมืองเพื่อสร้างประเทศ สร้างคนไทย สร้างอนาคต ไม่ใช่อย่างอื่น ฉะนั้น จิตสำนึกและภาระนี้สำคัญอย่างยิ่ง"
อดีตรองนายกฯ กล่าวถึงภาครัฐที่พัฒนาตนเอง ฟังสิ่งที่เอกชนพูดในวันนี้อย่างเอาใจใส่ ท่านจะได้ยินหลายอย่างว่า โลกข้างหน้านั้นเป็นโลกยุคดิจิทัล ไม่ว่าพฤติกรรมของคน อนาคตของบริษัท ทุกๆ เรื่องต้องมีสิ่งที่เกี่ยวกับดิจิทัล ฉะนั้น การตัดสินใจครั้งใหญ่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ อนาคตไอที อนาคตดิจิทัลของเราจะเป็นอย่างไร จะลงทุนการแข่งขันอย่างไรให้ชัดเจน รวดเร็ว ไม่ใช่ขะหยักขะหย่อน เพราะทุกนาทีที่ขะหยักขะหย่อนนั้น ความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศมหาศาล
ประเด็นถัดมาที่ ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด เห็นว่ามีความชัดเจน คือ อนาคตข้างหน้าผู้นำเอกชนกล่าวชัดว่า เราจะต้องแข่งขันกันด้วยนวัตกรรมและการเพิ่มมูลค่า สิ่งเหล่านี้นั้น เราต้องมียุทศาสตร์ เรื่องการศึกษาจะทำอย่างไร การวิจัย มหาวิทยาลัย เราจะเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างไร
" นักรบประเทศ คือ นักธุรกิจ ได้แก่ SME ภาครัฐจะทำอย่างไรจะวางทิศทางให้ดินไปข้างหน้าได้ ช่วยแนะนำ สร้างให้เข้มแข็ง ไม่ใช่บั่นทอน ชะลอเขา ฉะนั้น เชื่อว่าทุกคนอยากจะเห็น ภาพของยุทศาสตร์ที่ชัดเจนว่าเราจะไปอย่างไร โดยเฉพาะ AEC และ global economy ในวันข้างหน้า" ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด กล่าว และว่า การก้าวออกไปสู่ต่างประเทศ เราจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเป็น HUB เป็นจุดศูนย์รวมของ AEC ทำอย่างไรให้ประเทศไทยก้าวไปใช้ประโยชน์ที่เปิดกว้างของ AEC โดยที่ทุกฝ่ายนั้นได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย ท้ายที่สุด อย่าลืมประเด็นความเท่าเทียม การบูรณาการที่ครบวงจร
สำหรับสถานการณ์การเมืองในประเทศ อดีตนายกฯ กล่าวว่า น่าเสียดายที่วันนี้การเมืองไม่นิ่ง ความพยายามในการขับเคลื่อนจึงเบาบางลงไป เป็นเรืองของขีดจำกัด อีกทั้ง น่าเสียดายที่ภาคประชาชนอ่อนแอเกินไป จึงไม่สามารถขับเคลื่อนไปสู่สภาพที่เข้มแข็งได้ ฉะนั้น ความหวังจริงๆ ของประเทศจึงอยู่ที่ ภาคเอกชน ที่พร้อมทั้งปัญญาและทรัพยากร
"ในความคิดผมนั้น หากวันนี้ภาคเอกชนไม่ริเริ่ม ไม่ขยับ ไม่เขยื้อน เชื่อว่าเมืองไทยจะถดถอยอย่างช่วยไม่ได้ หลายสิ่งที่พูดกัน เอกชนสามารถเริ่มต้นได้เลย เช่น ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นของหอการค้าไทย"
ประธานสถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวถึงการที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า ต้องการนวัตกรรมใหม่ๆ แต่เอกชนอยู่ซีกหนึ่ง นักวิชาการอยู่ซีกหนึ่ง ฉะนั้น ต้องเพิ่มการเชื่อมโยงกัน เช่น หากต้องการปฏิรูปการศึกษาก็ไม่ต้องรอภาครัฐ สามารถเริ่มและทำตัวอย่างให้ภาครัฐเห็นและทำตามได้ เพราะภาครัฐอาจไม่เห็นด้วยซ้ำว่าการปฏิรูปจริงๆ นั้นทำอย่างไร
"เอกชนสามารถเป็นผู้ริเริ่ม ผลักดันได้ ทำคนเดียวนั้นลำบาก ขีดจำกัดสูง แต่ถ้ารวมพลังแล้ว พลังการขับเคลื่อนจะแรงมาก เสียงของท่านจะดัง สิ่งที่เรียกร้องจะได้รับการตอบสนอง ไม่มีรัฐบาลไหนที่จะอยู่ได้ ถ้าภาคเอกชนมีพลังการขับเคลื่อนที่แข็งแรง แต่ถ้าภาคเอกชนต่างคนต่างอยู่ก็จะเป็นผู้ถูกกระทำต่อไป สิ่งเหล่านี้บอกได้คำเดียวว่าภาคเอกชน คือกำลังที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในวันนี้"
ประธานสถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวด้วยว่า หากเอกชนไม่ริเริ่ม ความริเริ่มของประเทศอาจจะหยุดชะงัก เพราะบ้านเมืองขณะนี้ไม่ค่อยปกตินัก เชื่อว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทั้งนี้ สถาบันอนาคตไทยศึกษา เชื่อว่าประเทศไทยมีอนาคต จึงไม่ใช่เพียงนักวิจัย แต่จะร่วมคิดร่วมทำให้เป็นไปในทางปฏิบัติ นำเสนอย่างเป็นกลาง ไม่ฝักฝ่าย เป็นตัวอย่างว่าทุกฝ่ายสามารถทำสิ่งดีๆ ให้สังคม โดยรวมจากแนวคิดเก่าผสมใหม่ ที่เรียกว่า New wave of thought for New Future of Thai เป็นระลอกคลื่นของความคิดผสมผสานกันเพื่ออนาคต เมืองไทยจึงจะมีอนาคต
