เปิดแผนรัฐบาลดันเลิก "พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ" เพิ่ม 2 อำเภอ นับหนึ่งใช้ พ.ร.บ.มั่นคง
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวจากทางฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) เพิ่มเติมอีก 2 อำเภอ และเดินหน้าใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ทดแทนอย่างเป็นรูปธรรม
เป็นการเร่งผลักดันอย่างชัดเจนที่สุดในห้วงเวลาที่เชื่อกันว่าการเลือกตั้งใหญ่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์อยู่ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารมานานกว่า 2 ปีแล้ว
ที่สำคัญรัฐบาลได้ประกาศให้พื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ประกอบด้วย อ.จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี เป็นพื้นที่บังคับใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ตั้งแต่ปลายปี 2552 เพื่อนำร่องใช้มาตรา 21 ซึ่งหมายถึงการเปิดโอกาสให้ "ผู้กลับใจ" และ "ผู้หลงผิด" เข้ามอบตัว โดยจะไม่ถูกดำเนินคดีอาญา
ทว่า 1 ปีผ่านไปโดยไม่มีอะไรคืบหน้า ซึ่ง "ทีมข่าวอิศรา" เคยรายงานเอาไว้ในเว็บไซต์แห่งนี้ว่าทุกฝ่ายพร้อม แต่กองทัพดูจะไม่พร้อม ในแง่ของการพิจารณาว่าความผิดฐานไหนบ้างที่จะเข้าข่ายได้รับการยกเว้นไม่ดำเนินคดีอาญา
จังหวะก้าวของรัฐบาลในครั้งนี้จึงน่าคิดว่าจะดำเนินไปอย่างสะดวกโยธินหรือไม่ จะถูกค้านจากกองทัพอีกหรือเปล่า หรือว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เมื่อใกล้เลือกตั้ง...
แผนงานคร่าวๆ ของรัฐบาลเพื่อการนี้ สรุปรวบยอดจากการให้สัมภาษณ์ของ นายถาวร ได้ดังนี้
1.วันที่ 17 ม.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความพร้อมการใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกดปุ่มโอนเงินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระดับหมู่บ้าน หรือ พนม. จำนวน 2,281 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 228,000 บาท เป็นเงิน 512 ล้านบาท นำร่องที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี
ในวันเดียวกัน นายกฯจะไปเป็นประธานเปิดงาน “วันครู...ร่วมรำลึกคุรุวีรชนชายแดนใต้” ที่ จ.ปัตตานี ด้วย โดยงานดังกล่าวเป็นกิจกรรมเชิดชูวีรชนในวงการการศึกษาของพื้นที่ พร้อมร่วมทำบุญเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของข้าราชการครูที่ล่วงลับไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา รวมทั้งสิ้น 137 ราย
2.วันที่ 18 ม.ค.จะครบกำหนด 3 เดือนที่ต้องพิจารณาต่ออายุการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยกเว้น อ.แม่ลาน ที่ยกเลิกไปแล้ว) จึงได้หารือกับนายกรัฐมนตรีว่า น่าจะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติมในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ทั้งนี้ หากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เห็นชอบด้วย ก็จะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน 2 อำเภอดังกล่าวทันที
3.เดินหน้าใช้มาตรการตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งตัวบทเขียนเอาไว้ว่า "ภายในเขตพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ กอ.รมน. ดำเนินการตามมาตรา 15 (พื้นที่ที่ปรากฏเหตุการณ์กระทบต่อความมั่นคง) หากปรากฏว่าผู้ใดต้องหาว่าได้กระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด แต่กลับใจเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วปรากฏว่าผู้นั้นได้กระทำไปเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการเปิดโอกาสให้ผู้นั้นกลับตัวจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในการนี้ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนของผู้ต้องหานั้น พร้อมทั้งความเห็นของพนักงานสอบสวนไปให้ผู้อำนวยการ (ผู้อำนวยการ กอ.รมน. ในที่นี้หมายถึงแม่ทัพภาคที่ 4)
ในกรณีที่ผู้อำนวยการเห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน ให้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นของผู้อำนวยการให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล หากเห็นสมควรศาลอาจสั่งให้ส่งผู้ต้องหานั้นให้ผู้อำนวยการเพื่อเข้ารับการอบรม ณ สถานที่ที่กำหนดเป็นเวลาไม่เกินหกเดือน และปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นที่ศาลกำหนดด้วยก็ได้
การดำเนินการดังกล่าวให้ศาลสั่งได้ต่อเมื่อผู้ต้องหานั้นยินยอมเข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไข เมื่อผู้ต้องหาได้เข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหานั้นเป็นอันระงับไป"
4.กระบวนการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ (ที่ชะงักและหยุดนิ่งมานานกว่า 1 ปี) ที่รัฐบาลเตรียมไว้ ตั้งแต่การรับบุคคลที่กลับใจหรือหลงผิดเข้ากระบวนการ ไปจนถึงการจัดอบรมเป็นเวลา 6 เดือน จะมีคณะกรรมการ 4 ชุด ประกอบด้วย
- คณะกรรมการคัดสรรตัวบุคคล
- คณะกรรมการสอบสวน โดยมีพนักงานอัยการเข้าร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจ
- คณะกรรมการช่วยเหลือด้านคดี และเยียวยาชุมชนหรือบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากบุคคลที่เข้ามอบตัว
- คณะกรรมการกลั่นกรองผู้เข้ารับการอบรมแทนการฟ้อง
5.สถานที่สำหรับใช้ฝึกอบรมตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะใช้ที่โรงเรียนเสริมสร้างสันติสุข ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี (ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร) ที่กองพลพัฒนาที่ 4 ค่ายรัตนพล อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา และที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 5 (ป.พัน 5) ค่ายพระปกเกล้า อ.เมือง จ.สงขลา
6.ขณะนี้มีบุคคลที่พร้อมเข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21 และกลับตัวกลับใจ จำนวน 27 ราย แต่ยังถือเป็นข้อมูลลับ สิ่งที่กังวลคืออาจมีผู้ที่อยู่ในขบวนการหรือเป็นกลุ่มติดอาวุธ (อาร์เคเค) กล่าวหาว่าบุคคลเหล่านี้ (ที่เข้ากระบวนการตามมาตรา 21) หักหลังขบวนการ จนเกิดความเคียดแค้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีการคุ้มครองดูแลทั้งครอบครัวและบุคคลที่เข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21
7.ฐานความผิดที่เข้าข่ายได้รับการยกเว้นการดำเนินคดีอาญามีอยู่ 18 ฐานความผิด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
นับเป็นความเคลื่อนไหวซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งใหญ่...และน่าจับตายิ่ง!
-------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ค่ายรัตนพล กองพลพัฒนาที่ 4 อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา หนึ่งในค่ายทหารที่ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ฝึกอบรมผู้หลงผิดและผู้กลับใจ
2 บรรยากาศภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี อีกหนึ่งค่ายทหารที่จะใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมตามมาตรา 21 (ภาพโดย ปิยะศักดิ์ อู่ทรัพย์)
อ่านประกอบ : ตรวจความพร้อม "มาตรา 21" เมื่อทุกฝ่ายขานรับ แล้วกองทัพมีคำตอบหรือยัง?
http://www.south.isranews.org/scoop-and-documentary/scoop-news-documentary/622--21-.html