เปิดเบื้องลึก! ศึกชิง "ปธ.วุฒิสภา" เสียงคำรามในห้องลับ กับแววแพ้ของคนใจไม่ถึง
เบื้องหลัง เกมชิงตำแหน่งประธาน ส.ว. ที่มีจะการลงคะแนนในวันที่ 14 ส.ค.นี้ น่าจับตา ระหว่างตัวแทน ส.ว.เลือกตั้ง "นิคม ไวยรัชพานิช" (ซ้าย) กับตัวแทน ส.ว.สรรหา "พิเชต สุนทรพิิพิต" (ขวา) ใครจะได้เฮในตอนสุดท้าย

ไปๆ มาๆ ไฮไลต์ของศึกชิงเก้าอี้ประธานวุฒิสภา แทน “พล.อ.ธีรเดช มีเพียร” ที่นัดดีเดย์ ในวันอังคารที่ 14 ส.ค.นี้
อาจไม่ได้อยู่ที่ว่า ระหว่าง “นายนิคม ไวยรัชพานิช” ส.ว.ฉะเชิงเทรา กับ “นายพิเชต สุนทรพิพิต” ส.ว.สรรหา ใครจะเข้าวิน?
แต่อยู่ที่ว่า เพราะอะไร กว่าที่ “ก๊ก ส.ว.เลือกตั้ง” ที่มีนายนิคม, นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร ส.ว., นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี, นายประสิทธ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี และนายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม เป็นแกนนำ จะได้ข้อสรุปว่าจะใครลงชิงชัย ถึงต้องรอจนเกือบนาทีสุดท้าย
ต่างกับ “ก๊ก ส.ว.สรรหา” ทื่ชูชื่อนายพิเชตมาตั้งแต่ต้น
ส่วนหนึ่ง ก็อาจเป็นเพราะ “5 อรหันต์ ส.ว.เลือกตั้ง” ที่ต่างมีคอนเน็กชั่นกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล ได้ประเมินแล้วว่าถ้าแยกกันเดินมีโอกาสแพ้สูงมาก จึงต้องมาจับมือเป็นพันธมิตรกันเฉพาะกิจแบบมีเงื่อนไข
เพราะนอกจากนายนิคม ญาติของ “นายสุชาติ ตันเจริญ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าจะชิงเก้าอี้นี้
ยังมีนายชูชัย ที่ว่ากันว่าเป็นคนใกล้ชิดคนในครอบครัวผู้นำรัฐบาล ก็ต้องการที่จะลงสมัครเองเช่นกัน
ส่วนนายประสิทธิ์ พี่ชาย "นายประภัตร โพธสุธน" แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กับนายสมชาติ น้าชาติของรัฐมนตรีตระกูลสะสมทรัพย์แห่งค่ายเพื่อไทย ขอดูอยู่ห่างๆ คนในก๊วนสนับสนุนใคร ก็พร้อมชูมือให้คนนั้น
ขณะที่นายเกชา ลูกพี่ลูกน้องกับ “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แกนนำพรรคชาติพัฒนา แม้ไม่ต้องการชิงตำแหน่ง ทว่าเมื่อเห็นนายนิคมอยากจะลงสมัคร ก็อยากจะให้ลาออกจากตำแหน่ง “รองประธาน ส.ว.คนที่ 1” ก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้ ส.ว.คนอื่นๆ ได้ลุ้นบ้าง แต่ปรากฎว่า เจ้าของตำแหน่งคนปัจจุบันกลับ “ปฎิเสธ”
นำไปสู่การเรียกผู้เกี่ยวข้องมาปิดห้องคุย เพื่อขอให้ใครบางคนถอนตัว หรือหยุดถ่างขาควบเก้าอี้ แต่ใครคนนั้นกลับคำรามเสียงดังว่า “ทำอย่างนี้แล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” ทำให้วงประชุมลับดังกล่าวล่มไปโดยปริยาย
ท้ายสุด ก๊ก ส.ว.เลือกตั้ง จึงจำใจต้องเสนอชื่อนายนิคม ลงสมัคร
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า มีการเตรียม “แผนลับ” ว่า หากในวันที่ 14 ส.ค. นายนิคมเสนอชื่อตัวเองลงสมัครเป็นประธาน ส.ว. โดยไม่ยอมลาออกจากรองประธาน ส.ว.ก่อน ก็จะมีการเสนอชื่อ ส.ว.เลือกตั้งที่มีบารมีบางคนลงแข่งขันด้วย เพื่อบีบให้นายนิคมยอมลาออกจากรองประธาน ส.ว. เพราะต่างรู้กันดี ว่าหากมีตัวแทนจากก๊ก ส.ว.เลือกตั้ง ถึง 2 คน ลงสมัครพร้อมกัน จะตัดคะแนนกันเอง จนแพ้ตัวแทนจากก๊ก ส.ว.สรรหา แน่ๆ
แต่ถ้านายนิคมยอมลาออกจากตำแหน่ง "รองประธาน ส.ว." ใครคนนั้นก็จะถอนตัวจากการชิงชัยทันที
ซึ่งแน่นอนว่า “รอยร้าว” ในก๊ก ส.ว.เลือกตั้งดังกล่าว ยอมไม่พ้นสายตาของแกนนำก๊ก ส.ว.สรรหาอยู่แล้ว จึงมีการส่งทีมงานกระจายกันไปล็อบบี้ ส.ว.ที่ยังไม่แสดงท่าทีว่าฝักใฝ่ฝ่ายใดให้มาสนับสนุนนายพิเชต โดยโน้มน้าวด้วย "3 ข้อเสีย" ของนายนิคม ได้แก่
1.การหน้าที่ในฐานะรองประธาน ส.ว. ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ไม่เป็นกลาง สร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว.บางกลุ่ม
2.มีท่าทีโอนเอียงเข้าข้างฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐอย่างชัดเจนในระยะหลัง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ
3.บุคลิกภาพของนายนิคมที่เพื่อน ส.ว.บางกลุ่มรู้สึกว่า มีมนุษยสัมพันธ์ไม่ดีพอ และคล้ายยกตนข่มท่านในบางเวลา
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่สุดซึ่ง ก๊ก ส.ว.สรรหา คิดว่าเป็นจุดตายของนายนิคม ก็คือ การไม่ยอมลาออกจากเป็นรองประธาน ส.ว. !
“เพราะทำให้ ส.ว.บางกลุ่ม มองว่า นายนิคมเอาแต่ได้ ใจไม่ถึง ไม่กล้าเสี่ยง ซึ่งจะซ้ำรอยการเลือกตั้งประธาน ส.ว.ครั้งที่แล้ว นายนิคมก็ลงสมัครทั้งที่มีตำแหน่งรองประธาน ส.ว.คาอยู่ สุดท้ายก็เลยแพ้ พล.อ.ธีรเดช เพราะ ส.ว.บางกลุ่มไม่พอใจ ไม่เลือกนายนิคม หรือหันไปลงคะแนนให้ พล.อ.ธีรเดช” แหล่งข่าวจากกลุ่ม ส.ว.สรรหากล่าว
แหล่งข่าวรายเดิมยังกล่าวอีกว่า “แววแพ้” ของนายนิคมยิ่งปรากฎชัดเจนขึ้น เมื่อมีการเดินเกมต่อรองยื่น “ข้อเสนอลับ” ให้นายพิเชตถอนตัว แลกกับตำแหน่งรองประธาน ส.ว.คนที่ 1 หากนายนิคมได้เป็นประธาน ส.ว. แต่ข้อเสนอดังกล่าวก็ถูกปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้ว
สำหรับการลงคะแนนเลือกประธาน ส.ว.คนใหม่ จะใช้เสียงข้างมากในที่ประชุม ส.ว.ซึ่งปัจจุบันมี 146 คน ประกอบด้วย ส.ว.สรรหา 70 คน และ ส.ว.เลือกตั้ง 76 คน นั่นแปลว่าใครได้คะแนนเกิน 73 เสียงก็จะได้เป็น “ประมุขสภาสูง” คนใหม่
และแม้ ส.ว.สรรหาบางคน จะมั่นใจว่า นายพิเชตจะชนะนายนิคมอย่างแน่นอน ด้วยคะแนนเสียงราว 70-80 ต่อ 40-50 เสียง
แต่ ส.ว.เลือกตั้ง ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร กลับมองว่า โอกาสของแต่ละฝ่ายยัง 50:50 เพราะตัวแปรสำคัญ อยู่ที่กลุ่ม ส.ว.ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งมีอยู่ราว 30-40 เสียง ในขณะที่เวลานี้ นายนิคมและนายพิเชตมีเสียงอยู่ในมือพอๆ กัน
น่าจับตาดูว่า ผลการเลือกตั้งประธาน ส.ว.ในวันที่ 14 ส.ค.จะออกมาอย่างไร หลังจาก “ก๊ก ส.ว.สรรหา” เคยเอาชนะ “ก๊ก ส.ว.เลือกตั้ง” ในการเลือกตั้ง “ประมุขสภาสูง” มาแล้วถึง 2 ครั้ง
ที่มาภาพ:เว็บไซต์ นสพ.โพสต์ทูเดย์
