รุมถล่ม “นายอินทร์-ซีเอ็ด” ขอเก็บ 1% กำไรอื้อหลายร้อยล.-อนุกมธ.ไล่บี้ต่อ 21 ส.ค.นี้
เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน ที่มีนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน เพื่อพิจารณากรณีที่ผู้ประกอบการร้ายขายหนังสือในเครือบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แก่ร้านซีเอ็ด และบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้แก่ร้านนายอินทร์ เรียกเก็บค่ากระจายสินค้า 1 เปอร์เซ็นต์ จากราคาหนังสือ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการสำนักพิมพ์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีตัวแทนบริษัทซีเอ็ดฯและบริษัทอมรินทร์ฯเดินทางมาชี้แจง โดยผู้บริหารบริษัทซีเอ็ดฯอ้างว่าติดภารกิจและหนังสือเชิญมาชี้แจงส่งมากระชั้นชิดเกินไป ส่วนผู้บริหารบริษัทอมรินทร์อ้างว่าอยู่ระหว่างเดินทางไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด
นายวรพันธ์ โลกิตสถาพร กรรมการผู้จัดการบริษัท สถาพรบุ๊คส์ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกิจหนังสือจะมีหน่วยธุรกิจเกี่ยวข้อง 3 หน่วย คือ ผู้ผลิต สายส่ง และผู้จำหน่าย เหตุที่เกิดคือเมื่อ 17 ก.ค.2555 มีการแฟกซ์จดหมายจากบริษัทซีเอ็ดฯและบริษัทอมรินทร์ฯ ลงวันที่ 5 ก.ค.2555 สาระสำคัญคือ ด้วยเหตุที่รัฐบาลปรับค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้การกระจายสินค้ามีต้นทุนสูงขึ้น จึงขอเรียกเก็บค่าธรรมเนียมศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) หรือค่า DC 1% จากราคาหน้าปก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2555 นอกจากนี้ ยังมีหมายเหตุว่า ในเดือน มี.ค.2556 อาจจะปรับเพิ่มอีกครั้ง
“หลังจากได้รับแฟกซ์ก็เอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ ในวันที่ 18 ก.ค.2555 ก่อนมีมติให้เชิญตัวแทนบริษัทซีเอ็ดฯและบริษัทอมรินทร์ฯ มาประชุมร่วมกัน ในวันที่ 23 ก.ค.2555 และมีข้อตกลงร่วมเบื้องต้น ขอให้ทั้ง 2 ค่ายยกเลิกหนังสือแจ้งการเรียกเก็บค่า DC และจัดให้มีการเสวนารับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งเราได้จัดไปเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมมีมติให้ตั้งอนุกรรมการเพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งมีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้ง และจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 23 ส.ค.นี้” นายวรพันธ์ กล่าว
นายวรพันธ์ กล่าวว่า สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ รู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ปกติ มีแต่คำถามที่เราต้องหาคำตอบ มี 3 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่ง การร่วมมือของทั้ง 2 ค่ายเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ทั้งตาม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ข้อสัญญาทางการค้า และที่สำคัญคือธรรมเนียมปฏิบัติในวงการหนังสือ ประเด็นที่สอง ค่า DC เป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ ถูกต้องหรือไม่ เพราะปกติการทำสัญญาจะต้องมีการพูดคุยกัน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็แฟกซ์มาเฉยๆ นอกจากนี้ยังมีคำถามว่าค่า DC ซ้ำซ้อนกับค่าจัดส่งที่มีอยู่เดิม คือค่าส่วนแบ่งกำไรการค้า (Gross Profit) หรือค่า GP ที่เก็บในอัตรา 35-40% อยู่แล้ว และประเด็นที่สาม การเก็บค่า DC ในอัตรา 1 % ถือว่าเหมาะสมหรือไม่
“ทางออกเรื่องนี้ คือบริษัททั้ง 2 ควรเรียกสำนักพิมพ์ไปตกลงกันเรื่องค่า GP ที่เหมาะสมมากกว่า ไม่ใช่จู่ๆ ก็มาออกค่า GC แบบนี้” นายวรพันธ์กล่าว
นายปิยะวิทย์ เทพอำนวยสกุล บรรณาธิการสำนักพิมพ์สมมุติ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้สำนักงานพิมพ์สมมุติได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการเก็บค่า DC 1% ดังกล่าว เพราะเห็นว่าไม่เพียงส่งผลกระทบต่อธุรกิจการขายหนังสือ ยังส่งผลกระทบไปถึงผู้อ่าน ซึ่งการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหนังสือไม่ใช่หากินเกี่ยวกับหนังสืออย่างเดียว
นายธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ ผู้จัดการบริษัท สำนักพิมพ์ต้นฉบับ จำกัด ในฐานะอุปนายกฝ่ายในประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ กล่าวว่า ธรรมเนียมปฏิบัติการทำธุรกิจหนังสือ นอกจากฝากขายและแบ่ง % เมื่อขายได้ ก็หักจากเงินที่ขายได้ไป 40% ขายไม่ได้ก็คืนหนังสือมา นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติมา 40-50 ปีแล้ว ทุกคนที่อยู่ในวงการหนังสือรับทราบเหมือนกันหมด เริ่มจาก 25% ขึ้นมา 30% 32% 35% ปัจจุบันก็ 40% ที่เราเรียกว่าค่า GP เราคิดเหมือนกันหมดว่ามันมีค่าจัดส่งอยู่ในนี้แล้ว ที่ปัจจุบันมาแยกเรียกว่าค่า DC ดังนั้นการที่บริษัททั้ง 2 จะมาเรียกเก็บใหม่ถือว่าซ้ำซ้อน และไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
“นอกจากนี้ จำนวนร้านหนังสือในปัจจุบันทั่วประเทศไทย มีอยู่กว่า 900 ร้าน เป็นร้านซีเอ็ดกว่า 400 ร้าน เป็นร้านนายอินทร์ กว่า 200 ร้าน ที่เหลือเป็นร้านสแตนด์อะโลน หรือร้านหนังสือท้องถิ่น ไม่มีสาขา อีกว่า 300 ร้าน จึงถือว่า บริษัททั้ง 2 มีอำนาจเหนือตลาดอย่างแน่นอน แม้มูลค่าทางการตลาดจะอยู่ราว 40% ของธุรกิจหนังสือทั้งหมด” นายธงชัยกล่าว
นายวชิระ บัวสนธ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์สามัญชน กล่าวว่า ทุกวันนี้ การผลิตหนังสือ นายวรพันธุ์ได้มีการประเมินไว้ในวันที่ 31 ก.ค. ว่าหนังสือที่เราผลิตออกสู่ท้องตลาด เฉลี่ยแล้ว 1 ปีมี 14,000 ปก โดยยอดพิมพ์เฉลี่ยอยู่ที่ปกละ 3,000 เล่ม เสียค่าจัดพิมพ์เฉลี่ยเล่มละ 150 บาท ถ้านำตัวเลขมาคำนวณแล้วราว 6.3 หมื่นล้านบาท หากคิด 1% ก็คือ 630 ล้านบาท ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าบริษัททั้ง 2 จะได้เิงินดังกล่าวไปทั้งหมด แต่ก็น่าจะได้ไปไม่น้อย
“1% ดังกล่าว จึงไม่ใช่มาตรการกินเปล่า แต่เป็นมาตรการกินดิบ อย่างที่อาจารย์นิธิ (เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการและคอลัมนิตส์ชื่อดัง) ว่าเอาไว้” นายวชิระกล่าว
นายมกุฎ อรฤดี บรรณาธิการสำนักพิมพ์ผีเสื้อ กล่าวว่า ตามหลักสากลทั่วโลก ถ้าสำนักพิมพ์มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 1% ราคาหนังสือจะต้องเพิ่มขึ้นราว 4% เรื่องนี้จึงอยากตั้งคำถามกลับไปยังบริษัทซีเอ็ดฯและบริษัทอมรินทร์ฯว่า ที่ผ่านมาบริษัททั้ง 2 ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการลดลงราคา 5-10% แต่เวลาต้นทุนเพิ่มเหตุใดจึงมาเรียกเก็บจากสำนักพิมพ์อื่นๆ ทำไมไม่มาแข่งขันกันด้วยคุณภาพ โดยไม่ตั้งราคาที่สูงเกินความความเป็นจริง
น.ส.เนาวรัตน์ ปัญญางาม ข้าราชการบรรณารักษ์ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร กล่าวว่า ผลกระทบจากการขึ้นราคาหนังสือ จะทำให้สำนักหอสมุดแห่งชาติซื้อหนังสือได้น้อยลง ได้รับงบในการซื้อหนังสืออย่างจำกัด เพียงปีละแค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น
นายกฤษฎา บุณยสมิต รองอธิบดีสำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เรื่องนี้ถ้าถามว่าเป็นการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ตามปกติเรื่องสัญญาไม่เป็นธรรมต้องเป็นการทำสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ แต่เรื่องนี้เป็นการทำสัญญาระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเองจึงไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 แต่อาจจะมีกฎหมายอีก 2 ฉบับที่เข้าข่าย ได้แก่ 1.พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่จะมีคณะกรรมการป้องกันการผูกขาด แต่จะต้องดูว่าผู้ประกอบการดังกล่าวมีอำนาจเหนือตลาดหรือไม่เสียก่อน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวกระบวนการนี้จะใช้เวลาที่ยาวนาน อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นอาจจะให้ประชาชนทั่วไปที่รู้สึกว่าได้รับผลกระทบฟ้องต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เองได้ และ 2.ให้กระทรวงพาณิชย์ประกาศให้หนังสือเป็นสินค้าที่ต้องมีการควบคุมราคา ซึ่งผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีโทษทางอาญา
นายวุฒิเทพ ทิมทอง สำนักส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ในเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเข้าข่าย 2 มาตรา ได้แก่มาตรา 25 เรื่องการใช้อำนาจเหนือตลาด โดยมีอยู่ 2 หลักเกณฑ์ คือผู้ประกอบธุรกิจ 1-2 รายมีส่วนแบ่งทางการตลาด 50% ขึ้นไป และมียอดขายแต่ละรายเกิน 1 พันล้านบาท หรือผู้ประกอบธุรกิจ 3 รายมีส่วนแบ่งทางการตลาด 75% ขึ้นไป และมียอดขายแต่ละรายเกิน 1 พันล้านบาท และมาตรา 27 (3) คือฮั้วกันหรือไม่ คือมีการทำความตกลงร่วมกัน เพื่อครอบครองหรือควบคุมตลาดหรือไม่ แต่เท่าที่ดูจดหมายที่บริษัททั้ง 2 แฟกซ์ไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ ดูแล้วอาจจะมีการฮั้วกัน อย่างไรก็ตาม ต้องกลับไปดูว่าผู้ที่ลงนามในจดหมายที่แฟกซ์มานั้นมีอำนาจจริงหรือไม่
“อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันต้องถือว่าความผิดยังไม่สำเร็จ เพราะยังไม่มีการเก็บค่า DC เพียงแค่ส่งจดหมายมาหารือว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว 1%” นายวุฒิเทพกล่าว
นายกฤษฎา กล่าวเสริมว่า เรื่องนี้ข้อเท็จจริงยังไม่นิ่ง สิ่งที่อยากรู้มากที่สุด คือที่บริษัททั้ง 2 อ้างว่าได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล อยากรู้ว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ เพราะการออกมาตรการอะไรโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ซึ่งท้ายสุดต้องไปว่ากันในศาลอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ระหว่างที่การประชุมอนุ กมธ.การพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน กำลังเป็นไปอย่างเข้มข้น นายพรชัย ยวนยี เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) พร้อมด้วยนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ อีกราว 5-6 คน ก็เดินเข้ามาในห้องประชุม ก่อนยื่นแถลงการณ์คัดค้านกรณีบริษัทซีเอ็ดฯและบริษัทอมรินทร์ฯ เรียกเก็บค่า DC 1% เพราะเห็นว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการผูกขาดตลาดหนังสือ และเป็นจุดเริ่มต้นการผูกขาดระบบตลาดทางปัญญาในประเทศ ส่งผลกระทบต่อผู้แสวงหาปัญญาความรู้ การผลักภาระดังกล่าวให้แก่สำนักพิมพ์ อาจส่งผลให้สำนักพิมพ์ขนาดเล็กต้องปิดตัวลง เหลือเพียงแต่สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ที่อยู่รอดได้ ทำให้ความหลากหลายทางตลาดปัญญาถูกผูกขาดโดยปริยาย มาตรการดังกล่าวจึงส่งผลต่อการพัฒนาสติปัญญาของคนในประเทศ
“สนนท.จึงมีข้อเสนอดังนี้ 1.ขอให้ยกเลิกการเรียกเก็บค่า GC 1% และ 2.ขอสนับสนุนร้านหนังสือและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กให้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในวงการธุรกิจหนังสือ” แถลงการณ์ของนายพรชัยระบุ
ทั้งนี้ นายวัชระได้นัดประชุมอนุ กมธ.การพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน เพื่อพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง ในวันที่ 21 ส.ค.2555 โดยจะส่งหนังสือเชิญตัวแทนบริษัทซีเอ็ดฯ บริษัทอมรินทร์ฯ สำนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้มาร่วมชี้แจง