พาณิชย์ทบทวนหลักเกณฑ์ปิดช่องโหว่ทุจริตรับจำนำข้าวฤดูกาลใหม่
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์เตรียมความพร้อมที่จะเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูการผลิตปี 2555/2556 คาดว่าจะเริ่มเปิดรับจำนำวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อยู่ระหว่างการทบทวนกว่าร้อยละ 80 เชื่อว่าจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) อย่างช้าต้นเดือนกันยายนนี้ และหลังจากผ่านความเห็นชอบจาก กขช. แล้ว กระทรวงพาณิชย์จะประกาศหลักเกณฑ์และแถลงต่อสาธารณชนให้ทราบ เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ
สำหรับหลักเกณฑ์การเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปีครั้งใหม่ ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเปิดรับโรงสีเข้าร่วมโครงการจะมีแนวทางการป้องกันและหลักเกณฑ์ที่เข้มข้นมากขึ้น รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่จะเข้าร่วมโครงการจะมีมาตรการที่ชัดเจน เพื่อให้โครงการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปีทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เพื่อลดปัญหากระแสสังคมที่กำลังตำหนิว่าโครงการรับจำนำข้าวของภาครัฐเกิดปัญหาการทุจริตหรือสวมสิทธิ์ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก
"ยอมรับว่าแม้ทุกขั้นตอนการเปิดรับจำนำจะมีความเข้มข้น แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแนวทางปฏิบัติ เพราะแม้ขั้นตอนจะเข้มข้นก็จะมีกลุ่มคนร่วมกันหาช่องทางเพื่อเอาเปรียบหรือทำการทุจริต ดังนั้น ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์จึงต้องการให้หน่วยงานปฏิบัติทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต้องมีการป้องกันเต็มที่" นางวัชรี กล่าว
ส่วนการดูแลโรงสีที่จะเข้าร่วมโครงการฯ นั้น อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้มีความเป็นไปได้อาจจะให้มีการเพิ่มกล้องวงจรปิด ที่ผ่านมาจะเน้นติดเฉพาะคลังสินค้า บริเวณหน้าโรงสีหรือจุดรับจำนำ เบื้องต้นอาจจะขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการโรงสีที่เข้าร่วมโครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดที่คาดว่าจะเกิดปัญหาทุจริต เช่น พื้นที่ที่เกษตรกรนำข้าวมาจำนำ บริเวณโกดัง ขั้นตอนการสีข้าว ขั้นตอนการแปรสภาพข้าว เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์
นางวัชรี กล่าวด้วยว่า การเพิ่มกล้องวงจรปิดถือเป็นการเพิ่มต้นทุนผู้ประกอบการ ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐจะพยายามหาแนวทางลดผลกระทบผู้ประกอบการโดยเฉพาะโรงสี อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ขอแนะนำเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูกาลใหม่มาขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการกับส่วนราชการภายในวันและเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ในฐานะกรมการค้าภายในดูแลธุรกิจคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น ซึ่งเหลือระยะเวลาอีกเพียง 2 ปีที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้ภาคธุรกิจด้านการเกษตรโดยเฉพาะธุรกิจคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็นในประเทศเพื่อนบ้านจะเข้ามาลงทุนภายในประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนไทยต้องปรับตัว เพราะเออีซีมีทั้งผลดีและผลเสีย แต่ส่วนราชการมองว่าโอกาสที่ไทยจะไปลงทุนธุรกิจดังกล่าวในต่างประเทศค่อนข้างสูง จึงอยากแนะนำธุรกิจนี้ให้มีการปรับตัว เร่งศึกษากฎระเบียบก่อนที่จะก้าวสู่เออีซี .