“ปู” ย้ำ รบ.จริงจังแก้ปัญหาทุจริต หวังสร้างภาพลักษณ์ที่ดี-เพิ่มขีดแข่งขันไทย
วันที่ 18 สิงหาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานประกาศแนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไปของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนจากภาคเอกชน เยาวชนและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงาน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า เพื่อแสดงเจตนารมณ์และเน้นย้ำให้เห็นถึงการดำเนินการที่จริงจังของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และยังเป็นการสร้างให้เกิดการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้การดำเนินการเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ที่จะส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
“รัฐบาลได้ประกาศต่อสู้กับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ตามโครงการ “1 กรม 1 ป้องกันโกง” หรือ Clean Initiative ที่ให้แต่ละกระทรวง ทบวง กรม เสนอโครงการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นมาหน่วยงานละ 1 โครงการ โดยขณะนี้มีหน่วยงานเสนอโครงการมาแล้ว 220 โครงการ ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการกลั่นกรองและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด 199 โครงการ จาก 128 กรม 71 จังหวัด ยังเหลืออีก 21 โครงการ จาก 5 จังหวัดที่ต้องกลับไปปรับปรุงแก้ไข และจะอนุมัติให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ เพื่อสร้างความโปร่งใสในบริหารราชการ”
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังได้เปิดช่องทางในการส่งเรื่องร้องเรียนการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อสร้างกลไกการเฝ้าระวังเชิงรุก และนำไปสู่การเปิดให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาคราชการให้มีความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือต่อไปในอนาคต โดยหากประชาชนพบพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชั่นในภาคราชการ สามารถส่งเรื่องร้องเรียน ได้ทาง 1.ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น สายด่วน 1206 2.ตู้รับเรื่องร้องเรียนการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งจะติดตั้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ ทำเนียบรัฐบาล ศาลากลางจังหวัด สถานีขนส่ง ฯลฯ และ 3.เว็บไซต์ www.stopcorruption.go.th และสื่อสังคมออนไลน์ (Facebook Twitter Line) โดยทั้ง 3 ช่องทางนี้ รัฐบาลเชื่อว่าจะสามารถเป็นกลไกสำคัญที่สร้างประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแบบบูรณาการในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
