เปิดคำชี้แจงปลาใหญ่ เมื่อ “ร้านซีเอ็ด” ขอพูด กรณี 1%
ส่วนหนึ่งของเอกสารซึ่งมีความหนา "15 หน้า" กระดาษเอสี่
ที่ตัวแทน เจ้าของร้านหนังสือ "ซีเอ็ด" ในเครือบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) นำมามอบให้กับผู้ที่เข้ารับฟังการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน ที่มีนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา
เพื่อหารือประเด็นร้อน กรณีร้านซีเอ็ดและเ้จ้าของร้านหนังสือ “นายอินทร์” ในเครือบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ขอการสนับสนุนให้ช่วยค่ากระจายสินค้า (Distribution Center) หรือค่า DC ในอัตรา 1% จากมูลค่าหนังสือในราคาปก
โดยคำชี้แจงในเอกสารสำคัญ ต่อมาตรการที่มีคนเปรียบเปรยว่า คล้าย “ปลาใหญ่” ในวงการธุรกิจหนังสือ กำลังหาทางไล่กิน “ปลาเล็ก”
มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังต่อไปนี้...
-ส่วนที่ 1 เหตุผลและที่ไปที่มาของการขอการสนับสนุนให้ช่วยค่าการกระจายหนังสือที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในร้านซีเอ็ด
“ตามที่ร้านซีเอ็ด ได้ทำจดหมายลงวันที่ 5 ก.ค.2555 ไปถึงสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายที่เป็นคู่ค้าโดยตรง ว่าจะขอเก็บค่า DC 1% แต่ต่อมาร้านซีเอ็ดได้ยกเลิกจดหมายดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค.2555 ตามคำขอของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (และเมื่อวันที่ 14 ส.ค.2555 ร้านซีเอ็ดได้ออกจดหมายเรียนย้ำการยกเลิกไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ อย่าเป็นทางการอีกครั้ง) เพื่อให้อนุกรรมการของสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ได้หาทางออกภายในเดือน ส.ค.2555 นั้น ร้านซีเอ็ดได้พยายามชี้แอจงเหตุผลต่างๆ เกี่ยวกับความจำเป็นในการขอเก็บค่า DC 1% ผ่านเวทีที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ จัดขึ้นในวันที่ 31 ก.ค.2555 แต่ด้วยข้อกำจัดของโอกาส บรรยากาศ และเวลา ที่ยังอาจทำให้การชี้แจงไม่ทั่วถึงหรือชัดเจนเพียงพอ ประกอบกับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมหนังสือเอง ก็ยังมีความเข้าใจและข้อมูลที่ต่างกันอยู่มาก ทำให้ปรากฏข่าว กระแส และรายงาน ที่สร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน” (หน้า 1)
“แม้ศูนย์กระจายสินค้า จะช่วยลดภาระของผู้จัดจำหน่ายได้มากพอสมควร แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย จึงทำให้หลายปีที่ผ่านมา ร้านหนังสือเครือข่ายขนาดใหญ่บางราย ไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้า จึงขอเรียกเก็บค่า DC ในอัตรา 2% ซึ่งที่ผ่านมาสำนักพิมพ์ และผู้จัดจำหน่ายหนังสือ ก็ได้ให้ความร่วมมือ ดังนั้นเรื่องค่า DC จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในอุตสาหกรรมหนังสือแต่อย่างใด” (หน้า 3-4)
“สาเหตุที่ร้านซีเอ็ดต้องขอเก็บค่า DC เพราะต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้นสะสมมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบการกับมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในอัตราที่ก้าวกระโดด ทำให้ร้านซีเอ็ดไม่เอาแบกรับต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมากโดยลำพังได้อีกต่อไป จึงจำเป็นต้องขอการช่วยเหลือจากสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือซึ่งเป็นคู่ค้าโดยตรงของร้านซีเอ็ด และการคิดค่า DC ในอัตรา 1% ก็ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้าและกระบวนการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นจริงของศูนย์กระจายสินค้าของร้านซีเอ็ดอย่างมาก และเป็นการขอสนับสนุนแบบสมัครใจ ไม่มีการบังคับแต่อย่างใด” (หน้า 4)
“ค่า DC นี้ ร้านซีเอ็ดจะขอการเก็บจากสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือ ที่เป็นคู่ค้าโดยตรงกับร้านซีเอ็ดเท่านั้น สำนักพิมพ์ที่ใช้บริการผู้จัดจำหน่ายหนังสือ ที่ไม่ได้ส่งหนังสือตรงให้กับร้านซีเอ็ดจะไม่ถูกเก็บค่า DC แต่อย่างใด” (หน้า 5)
-ส่วนที่ 2 การชี้แจงประเด็นข้อสงสัยย่อยต่างๆ
ที่มีการเรียกค่า DC 1% ว่าเป็น “เงินกินเปล่า เงินกินดิบ ค่าต๋ง หรือแป๊ะเจี๊ยะ”?
ขอยืนยันว่าร้านซีเอ็ดไมได้เรียกเก็บค่า DC ตาม 4 ความหมายดังกล่าว เพราะร้านซีเอ็ดได้จัดส่งหนังสือจากสำนักพิมพ์ไปยังสาขาต่างๆ กว่า 400 แห่ง ตั้งแต่ปี 2537 โดยไม่เคยเรียกเก็บค่า DC มาก่อน โดยปัจจุบัน ต้องใช้รถขนส่ง 67 คัน รวมระยะทางขนส่งเฉลี่ยวันละ 26,138 กิโลเมตร เมื่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ปรับจากลิตรละ 13.69 บาท เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2546 มาเป็น 29.99 เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2555 เท่ากับในรอบ 10 ปี ราคาขายปลีกน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.19 เท่า หรือเฉลี่ยปีละ 9.1% นอกจากนี้ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 39.5% ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2555 ทำให้ร้านซีเอ็ดต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นเดือนละ 5.1 ล้านบาท
ด้วยต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สะสมเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ร้านซีเอ็ดไม่อาจที่จะแบกรับกับค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าไว้ได้โดยลำพังอีกต่อไป ต้องขอการสนับสนุนค่า DC จากสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือ
ข้อกล่าวหาว่า ที่ว่าร้านซีเอ็ดเรียกเก็บ “เงินกินเปล่า เงินกินดิบ ค่าต๋ง หรือแป๊ะเจี๊ยะ” จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด (หน้า 6-7)
การเรียกเก็บค่า DC 1% ทำให้ร้านซีเอ็ดได้เงินกำไรเพิ่มขึ้นมหาศาลใช่หรือไม่?
มีการประเมินที่เกินจริงผ่านสื่อ ว่าปีหนึ่งๆ จะมีหนังสือใหม่ออกมา 1.4 หมื่นเรื่อง โดยมียอดพิมพ์เรื่องละ 3 พันเล่ม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าร้านซีเอ็ดจะได้รับเงินค่า DC เป็นมูลค่ามหาศาล
ในปี 2553 ร้านซีเอ็ดมียอดขายเพียง 3.9 พันล้านบาท จากมูลค่ารวมของตลาด 2.1 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 18.2% เท่านั้น ร้านซีเอ็ดจึงไม่มีมูลค่าเหนือตลาด และหนังสือปกหนึ่งๆ ที่พิมพ์มาทั้งหมด ไม่ได้มีวางจำหน่ายในร้านซีเอ็ดเพียงช่องทางเดียว และปัจจุบันต้นทุนในการจัดส่งหนังสือ เฉพาะขาส่งไปจะอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 1.62 บาทต่อเล่ม หากจำเป็นต้องส่งกลับ จะมีค่าใช้จ่ายในการส่งกลับอีกเฉลี่ยประมาณ 5.29 บาทต่อเล่ม เท่ากับร้านซีเอ็ดมีความเสี่ยงที่จะรับค่าใช้จ่ายจากหนังสือที่ขายไม่ได้ถึงเฉลี่ยประมาณ 6.91 บาทต่อเล่ม หรือไม่น้อยกว่า 4% ของมูลค่าปกโดยเฉลี่ย !!
ข้อกล่าวหาที่ว่าร้านซีเอ็ดจะได้ค่า DC เป็นมูลค่ามหาศาลจึงไม่เป็นความจริง (หน้า 8-9)
ร้านซีเอ็ด ”ฮั้ว“ กับร้านนายอินทร์ ใช่หรือไม่?
ในเมื่อร้านซีเอ็ดไม่ได้มีอำนาจเหนือตลาด ยังเปิดโอกาสให้หนังสือทุกๆ ปกจากสำนักพิมพ์ต่างๆ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้ทดลองวางจำหน่าย โดยไม่มีการกีดกันและเลือกปฏิบัติ เพราะในร้านซีเอ็ด มีของสำนักพิมพ์ซีเอ็ดแค่ 6.1% ที่ซีเอ็ดเป็นผู้จัดจำหน่าย 18.9% ที่เหลือ 75.0% มาจากสำนักพิมพ์อื่นๆ ที่หาว่าร้านซีเอ็ดฮั้วกับนายร้านอินทร์เพื่อครอบครองหรือควบคุมตลาด ก็ไม่เป็นความจริง เพราะร้านซีเอ็ดไม่มีพฤติกรรมกำหนดราคาและปริมาณสินค้าอย่างเบ็ดเสร็จ
การขอเก็บค่า DC ก็เป็นการขอความร่วมมือโดยสมัครใจ ไม่ได้มีการบังคับร้านซีเอ็ดแต่อย่างใด สำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือรายใดเข้าใจ และสมัครใจที่จะให้การสนับสนุน ก็จะมีกระบวนการในการทำเอกสารแนบท้ายสัญญาระหว่างกันต่อไป (หน้า 9-10)
เหตุใดจึงเก็บค่า DC จากยอดส่ง ไม่ใช่ยอดขาย?
เพราะต้นทุนในการจัดส่งหนังสือไป-กลับ ระหว่างศูนย์กระจายสินค้า-ร้านซีเอ็ดทั่วประเทศ แปรผันตามจำนวนหนังสือที่ต้องส่ง จึงต้องใช้ “ยอดส่ง” เป็นเกณฑ์
ถ้าใช้วิธีเพิ่มจาก “ยอดขาย” หรือยอดส่วนลดจากปก หรือค่าส่วนแบ่งกำไรการค้า (Gross Profit) หรือค่า GP ไม่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในการจัดส่งหนังสือ ยังทำให้รายได้ของสำนักพิมพ์หรือผู้จัดจำหน่ายหนังสือลดลง
และนำค่า DC และค่า GP ไปรวมกัน ถ้าในอนาคต ต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำและค่าน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสะสมเพิ่มอย่างรุนแรงอีก สำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายก็จะยิ่งเสียสัดสว่นของรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ (หน้า 11)
การขอคิดค่า DC เป็นเรื่องใหม่ไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรมหนังสือ ใช่หรือไม่?
ที่จริงร้านหนังสือเครือข่ายอื่นๆ ก็มีการเรียกเก็บค่า DC จากสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่งสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายก็ให้ความร่วมมือ ในการจ่ายค่า DC ให้กับร้าหนังสือเครือข่ายดังกล่าวมาโดยตลอด แต่ที่ร้านซีเอ็ดไม่ขอเก็บค่า DC ไปพร้อมๆ กับร้านหนังสือเครือข่ายดังกล่าว ก็เพราะว่า ร้านซีเอ็ดพยามยามแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่ เพื่อจะแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเองไว้ได้ แต่เมื่อมีการปรับขึ้นค่าแรงข้นต่ำแบบก้าวกระโด ทำให้ร้านซีเอ็ดไม่สามรถที่จะแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลโดยลำพังได้อีกต่อไป (หน้า 14-15)
