ประวัติศาสตร์ พฤษภา'53 ฉบับผู้แพ้ โดย “อดีตเลขาฯ ศอฉ.”

นักประวัติศาสตร์ มักมีคำพูดติดปาก ราวกับเป็นสัจธรรม ว่า “ผู้ชนะได้เขียนประวัติศาสตร์”
แต่สำหรับการเมืองไทย พ.ศ.นี้ อาจไม่ง่ายที่ “ผู้ชนะ” อย่างพรรคเพื่อไทย-ทักษิณ ชินวัตร-คนเสื้อแดง จะเขียน“ประวัติศาสตร์” เพียงข้างเดียว
ช่วงสายวันที่ 23 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล “นายถวิล เปลี่ยนศรี” ข้าราชการระดับสูงที่ถูกโยกย้ายด้วยเหตุผลทางการเมือง รายแรกๆ ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงเปิดแถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์เมื่อปี 2553
“อดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)” ยืนยันในข้อเท็จจริงที่ตัวเองเคยพูดมาตลอด แม้จะถูกเด้งจาก “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)” ไปนั่งตบยุงในตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ” ก็ตาม
ปักหลัก ยืนหยัด ยืนยัน จนผู้ฟังอาจจะพากันเบื่อไปตามๆ กัน เพราะไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์กี่ครั้ง ก็ยัง “พูดเหมือนเดิม”
อาจเพราะมีปรัชญาชีวิตการทำงาน ต่างจาก “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ประกาศว่า “การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการต้องเปลี่ยนไปตามนโยบายของรัฐบาล”
นามสกุล “เปลี่ยนศรี” จริง แต่พฤติกรรมไม่เคย “เปลี่ยนสี” ข้าราชการดีเด่นประจำปี 2554 เจ้าของรางวัลครุฑทองคำ ที่ชื่อ “นายถวิล” เคยลั่นวาจาเอาไว้ !
เขาเริ่มต้นเริ่มประวัติศาสตร์ฉบับผู้แพ้ กรณีเหตุการณ์เดือน พ.ค.2553 หลังรองอธิบดีดีเอสไอออกมาเปิดประเด็นเรื่องสไนเปอร์ แล้วมีคำสั่ง ศอฉ.บางส่วนหลุดออกมา ก่อนที่คนบางกลุ่มนำไปขยายผลต่อ...
ช่วง (1) นายถวิลแถลงข่าวโดยพูดฝ่ายเดียวก่อน
ต้องสรรเสริญคนที่ช่วยรักษาความสงบ
“ข้อเท็จจริงบางอย่างเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม แต่เมื่อเข้าสู่เวลาหนึ่งกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งผมคิดว่าถ้าบ้านเมืองเป็นแบบนี้ เวลาผ่านมาแค่ไม่กี่เดือนแต่ข้อเท็จจริงบางอย่างถูกบิดเบือน เราจะเขียนประวัติศาสตร์ในหลายๆ ปีได้อย่างไร
“เรื่องของการปฏิบัติงานของเข้าหน้าที่ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมว่า ข้อเท็จจริงนั้นมีเพียงข้อเท็จจริงเดียว วันเวลาผ่านไปจะต้องไม่เปลี่ยนแปลง โดยเหตุการณ์นั้นเจ้าหน้าที่ได้ออกมาเพื่อความสงบเรียบร้อย เพื่อระงับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากการชุมนุมประท้วงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำวินิจฉัยออกมาชัดเจนแล้วว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วย กฎหมาย และเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดำเนินตามกฎหมายได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักสากล หากเจ้าหน้าที่ไม่ออกไปในสถานการณ์แบบนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลก
“เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานโดยความรู้สำนึกผิดชอบชั่วดี เจ้าหน้าที่หลายคนด้วยซ้ำไป ไม่ได้สบายใจในการออกไปทำงาน แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะต้องรักษาสิทธิของคนส่วนใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งการถูกกล่าวหาว่าทำเกินกว่าเหตุ เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านั้นควรได้รับความยกย่องสรรเสริญมากกว่าที่จะก่นด่าว่าฆ่าประชาชน
มีบางฝ่ายขยายภาพเล็กให้ใหญ่เกินจริง
“เมื่อมีเหตุที่มีพยานหลักฐานบ่งบอกว่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเนื่องมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ก็เป็นเรื่องที่จะค้นหาความจริงดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม แต่ว่าไม่ใช่เอาเรื่องทั้งหมดมากล่าวหา ว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการสั่งการให้ติดอาวุธออกไป เอาสไนเปอร์ไล่ฆ่าประชาชน ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการทำภาพเล็กให้เป็นภาพใหญ่ ภาพรองให้เป็นภาพหลัก โดยไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
“ผมไม่ได้แก้ต่างให้ ศอฉ.ในขณะนั้น ผมก็เป็นหนึ่งใน ศอฉ. ซึ่งปฏิบัติงานโดยยึดกฎหมายตามหลักสากล และเป็นการออกคำสั่งโดยที่มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เหตุการณ์ที่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะสม และส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่
“ขอเรียนว่าเหตุการณ์กระชับวงล้อมตั้งแต่กลางเดือน พ.ค. 2553 เจ้าหน้าที่ไม่ได้บุกเข้าไป โดยเจ้าหน้าที่ได้ตั้งกองกำลังเพื่อปิดล้อม เจตนาคือต้องการให้มีการสลายการชุมนุม โดยที่ไม่มีผู้เข้าไปร่วมชุมนุมใหม่ ขณะนี้มีการกล่าวหานอกศาลกันแล้วว่าเจ้าหน้าที่ฆ่าประชาชน โดยถ้าหากมีความผิดในกระบวนการที่ไปถึงชั้นศาลจริง เจ้าหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งผมคิดว่าตรงนั้นเป็นความยุติธรรม และมองไม่เห็นเหมือนกันว่าถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงนั้น บ้าน เมืองจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ชี้ “ธาริต” ร่วมพิจารณาคำสั่ง ศอฉ.ตลอด
“การประชุมของศอฉ.นั้นตั้งขึ้นในรูปคณะกรรมการ มีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มีปลัดกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง ผบ.เหล่าทัพ ร่วมเป็นกรรมการ โดยตนเป็นเลขานุการ ศอฉ. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอเป็นกรรมการ ศอฉ.ด้วย ตั้งแต่ตั้งกองกำลังที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ทำงานทุกวัน แรกๆ นั้น จะประชุมวันละ 4 ครั้ง โดยมีกรรมการ ศอฉ.มาร่วมประชุม โดยผมกับนายธาริตร่วมประชุมด้วย เริ่มจากบรรยายสรุปสถานการณ์ว่าในแต่ละวันมีสถานการณ์เช่นใด ผู้ชุมนุมกระทำการเช่นใด โดยประเมินสถานการณ์และผลปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ และยังมอบหมายหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่
“ฉะนั้นการประชุมจะมีการหารือกว้างขวาง ขอเรียนว่าไม่มีการสั่งการจากที่ประชุม ศฮฉ. ว่าจะไปสั่งการว่าตรงนั้น ให้ดำเนินการแบบนั้นแบบนี้ เพราะมีการปรึกษาหารือกัน รวมทั้งใครที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของ ศอฉ.ในฐานะกรรมการก็สามารถโต้แย้งแก้ไขได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความเห็นในทิศทางเดียวกัน
“นายธาริตเสนอความเห็นหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ในการทำงานช่วงนั้นมาก และได้รับคำชมว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานของสถานการณ์นั้น การสั่งการนั้นจะมอบให้หน่วยงานไปดำเนินการ นายสุเทพ (เทือกสุบรรณ รองนายกฯขณะนั้น) ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.จะมาสั่งมอบแบบรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่นั้น คงไม่ได้ แต่จะมอบแนวทางปฏิบัติผ่านหัวหน้าหน่วยในการออกแผนปฏิบัติ เพราะในทางทหาร เรียกว่าสั่งการแบบยุทธการ
ย้ำม็อบติดอาวุธ-เอกสารหลุดไม่ส่วนไหนผิด กม.
“ผมเข้าร่วมประชุมทุกครั้งนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯขณะนั้น และกรรมการ ศอฉ.คนอื่นๆ ล้วนคำนึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของ ประชาชนที่ร่วมชุมนุมทุกครั้ง แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือ มันไม่ใช่การชุมนุมที่เดินไปแล้วปิดถนน แต่มันมีการใช้อาวุธและยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ เช่น บุกค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ การยิงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสีลม
“คำสั่งยุทธการและปฏิบัติการในการทำงานของ ศอฉ.นั้น มีการยึดกฎหมายและระเบียบราชการ และในที่ประชุมนั้น นักกฎหมายหลายคนได้แสดงความเห็นว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตาม กฎหมายและหลักสากลพอสมควรแก่เหตุ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติการจะได้รับการกำชับตลอดเวลา แม้กำชับในขณะที่ลงพื้นที่ปฏิบัติการไม่ได้ แต่หัวหน้าผู้สั่งการรับทราบเรื่องนี้ตลอดเวลา ว่าต้องระวังความสูญเสียให้มากที่สุด และเพ่งเล็งไปที่ผู้ใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นสำคัญ
“ส่วนคำสั่ง ศอฉ.ที่รั่วไหลมายังสื่อมวลชนนั้น ผมเห็นว่ายังไม่เห็นว่ามีคำสั่งใดมิชอบหรือลุแก่อำนาจ ลำดับขั้นตอนปฏิบัติการต่างๆนั้นถูกต้อง แต่มันแน่นอนว่าไม่ควรหลุดออกมา หากคำสั่งเหล่านี้หากไม่ออกมามันน่าแปลก การที่มีคำสั่งระงับเหตุรุนแรงและรักษาความสงบนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ขอเรียนว่าการประชุม ศอฉ.นั้น กรรมการหลายคนพูดแล้วว่าไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ เพราะมีการกล่าวหาว่า ศอฉ.มีทั้งแตงโมและมะเขือเทศ เพราะการสั่งการเป็นแบบเชิงนโยบาย กรรมการ ศอฉ.ทุกคนรับทราบ หากมีใครไม่เห็นด้วยการประชุมครั้งต่อไป ก็โต้แย้งได้ เพราะศอฉ.จะรับผิดชอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ”
ช่วง (2) เปิดโอกาสให้นักข่าวซักถาม
@ ศอฉ.ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบเรื่องชายชุดดำ เพราะแถลงข่าววันนี้เสมือนการแก้ต่าง
ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้มันจุดกระแส ทำให้ไม่ปรากฏขึ้นมาความจริง แล้วการดำเนินคดีต่างๆ กับคนที่ใช้อาวุธ และชายชุดดำนั้นมีการจับกุมดำเนินคดี แต่ตอนนี้มีการประกันตัวออกไป ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด เพียงแต่ตอนนี้มีกระแส อื่นเข้ามากลบ การเพ่งเล็งว่าใครเฝ้าราชประสงค์และชายชุดดำจะโดนดำเนินคดีหรือไม่ แบบนี้มีการดำเนินคดี ดีเอสไอได้รายงานเข้ามาทุกครั้ง ว่าตอนนี้จับกุมและควบคุมตัวไว้แล้ว มีการไปฝึกอาวุธทางภาคเหนือ จนกระทั่งผมโดนต่อว่าว่าไปยืนยันกับนายธาริตว่าไปฝึกฝนกับประเทศบ้าน เป็นต้น เรื่องเหล่านี้โดนกลบโดยการพูดแบบอื่นความจริงก็ไม่เป็นความจริง
@ การแถลงข่าวช่วงหนึ่งที่ระบุว่าศอฉ.รับผิดชอบร่วมกัน เพื่อความชัดเจนโปร่งใสนั้น คำสั่งยุทธการทั้งหมดพร้อมแสดงต่อสังคมหรือไม่
ให้เป็นหน้าที่ของกฎหมาย ศาลจะเรียกคำสั่งเหล่านี้ได้หรือไม่นั้น ผมไม่แน่ใจ หากในด้านกระบวนการยุติธรรมเจ้าหน้าที่คงไม่มีใครขัดข้องเเต่ตอนนี้มีกระบวนการยุติธรรมนอกศาล
@ มองบทบาทของนายธาริตตอนนี้แบบใด
ขอเรียนว่านายธาริตทำงานในฐานะกรรมการ ศอฉ.และอธิบดีดีเอสไอ มีผลดีต่อการระงับความรุนแรงและรักษาความสงบเรียบร้อย นายทหารหลายคนพูดกับผมว่า หากไม่ได้นายธาริตจะเหนื่อยมากกว่านี้ เพราะในตอนนั้นนายธาริตมีข้อเสนอหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ ต้องคิดว่าวิธีปฏิบัติของนายธาริตในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพตอนนั้น นายธาริตมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้น และยังเคยเห็นด้วยกับ ศอฉ.ในช่วงนั้น
เราพูดเรื่องหนึ่งเมื่อเหตุการณ์หมดไปแล้วไม่เห็นภาพ ตอนนี้ใครไปเดินราชประสงค์ก็มองไม่เห็นสภาพ ตอนนี้ไปเดิน ก็แอร์เย็น สินค้าครบ แต่วันนั้นมันไม่ใช่ วันนั้นเจ้าหน้าที่รัฐไปดูแลไม่ได้ ตกค่ำขึ้นมาทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของผู้ชุมนุมอย่างสิ้นเชิง หากถามถึงนายธาริต ผมอยากให้กำลังใจเพราะความจริงรู้จักกันดี นั่งข้างกันใน ศอฉ. เป็นมืออาชีพในการทำงาน ในวันนี้ผมคิดว่านายธาริตเป็นอธิบดีดีเอสไอที่ต้องรักษาความยุติธรรม และดำเนินการตามกฎหมายเคร่งครัดและคงไม่ทิ้งตรงนั้น คนอื่นอาจสงสัยต่างๆ แต่ผมไม่สงสัยแบบนั้น
@ สังคมวิจารณ์ว่าวันนี้นายธาริตเปลี่ยนไป?
ผมไม่ขอวิจารณ์ แต่ผมนั้นเองที่เปลี่ยนไป เพราะตอนนั้นเป็นเลขาธิการ สมช. แต่ตอนนี้เป็นที่ปรึกษานายกฯ แต่นายธาริตยังเป็นอธิบดีดีเอสไออยู่
@ นายธาริตเคยระบุว่าหลายเรื่องที่ฝ่ายยุทธการตกลงกันไว้แต่นายธาริตไม่รู้เรื่อง
วิธีการทำงานของ ศอฉ.เวลาประชุมกันนั้น กรรมการชุดใหญ่ที่มีคนจำนวนมาก ผมเรียนแล้วว่ามันไม่มีความลับการสั่งการจะสั่งโต้งๆ ในที่ประชุมคงไม่ได้ แต่ถามว่าคุยกันเรื่องนโยบายหลักหรือไม่ ตอบว่าคุยแน่นอน เช่นวันที่10 เม.ย.2553 ที่มีการขอคืนพื้นที่นั้น มันเป็นความรับผิดชอบของ ศอฉ.ร่วมกัน แต่การปฏิบัตินั้นจะสั่งการในที่ประชุมไม่ได้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติ ต้องไปออกแผนปฏิบัติของตัวเองตามกรอบที่ ศอฉ.ให้ไว้ ตรงนี้มันต้องรับผิดชอบร่วมกันตามแนวคิดของตน หากใครไม่เห็นด้วย การประชุมครั้งต่อไปก็นำมาคุยกันได้
@ แผนการนั้น นายถวิลรับทราบหรือไม่
เรื่องที่หน่วยปฏิบัติต้องนำไปปฏิบัติเอง ผมไม่ทราบ แม้หากจะทราบ ก็อ่านแผนไม่ออกว่าสั่งการกันแบบใด
@ ก่อนแผนจะนำมาใช้ต้องขออนุมัติใครก่อน
เหตุที่เกิดขึ้นนั้นมันเร็วมาก ฉะนั้น ถึุงสั่งการแล้วแยกย้ายไปปฏิบัติ ยังไม่ทันเลย คนสั่งการลงไปนั้น ผมคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของหัวหน้าหน่วย ส่วนที่ว่าคำสั่งควรเสนอให้นายกฯพิจารณาก่อนนั้น ผมไม่เห็นในส่วนนี้
@ เหตุใดจึงไม่ใช้วิธีที่สากลทั่วโลกใช้ในการสลายการชุมนุมเนื่อง จากใช้เจ้าหน้าที่ทหารติดติดอาวุธย่อมเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงได้ง่าย
ผมคิดว่าวิธีการทำงานของบ้านเราอะลุ่มอล่วยมากที่สุดแล้ว ที่อื่นการลงโทษตามกฎหมายเข้มแข็งกว่าบ้านเราด้วยซ้ำไป แม้จะบอกว่าตำรวจทำงานได้อย่างนิ่มนวลมากกว่าแต่ก็เคยบาดเจ็บมาแล้วจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ฉะนั้นทหารและทุกฝ่ายควรนำบทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์ข้างต้น การไปร้องศาลในคราวนั้น ศาลปกครองกลางเห็นว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การปฏิบัติสลายการชุมนุมครั้งนั้น ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเจ้าหน้าที่จะเข้าสลายต้องเป็นไปหลักสากลและสมควรแก่สถานการณ์ บทเรียนครั้งนั้นควรนำคำสั่งศาลมาดูว่าจะปฏิบัติการได้เพียงใดและนำวิธีของนานาประเทศมาศึกษาปรับปรุง
@ การแถลงข่าวในวันนี้ คล้ายว่าใครมาเป็นรัฐบาลข้อมูลย่อมเปลี่ยนไปเสมอ
ผมรู้สึกแบบนั้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียวแต่เรื่องอื่นมันเกินหน้าที่ผม แค่เรื่องนี้ก็กลุ้มใจพออยู่แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐหากยอมทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่งหน้าที่ ก็เป็นความโชคร้ายของสังคม แต่ผมไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน
@ พูดแบบนี้หมายถึงนายธาริตใช่หรือไม่
หมายถึงทุกคนที่เป็นแบบนั้น มันก็เป็นแบบนั้น รวมทั้งผมจะด่าตัวเองด้วย หากผมเป็นเเบบนั้น
@ การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมและผู้ บาดเจ็บเมื่อปี 2553 ใครควรรับผิดชอบ
เป็นคำถามยาก แต่ใครทำผิด ต้องรับผิดชอบไป เจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติการนั้น ได้รับการคุ้มครองเพราะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หมายความว่าเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นจะใช้สิทธิตามเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่ว่าประกาศใช้แล้วจะเดินเข้าไปและเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจมากกว่าปกติ แต่มีการกำหนดว่าจะใช้เงื่อนไขใดบ้าง แต่จะเกินกว่าเหตุและเกินความจำเป็นไม่ได้ ส่วนเหตุการณ์ถนนราชปรารภที่ยิงกันจากอาคารสูงนั้น ผมไม่ทราบเรื่องและข้อมูล
@ ครม.และผู้บริหารประเทศตอนนั้นควรรับผิดชอบเช่นใด เพราะตอนนั้นมอบให้นายสุเทพเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ.
ไม่พ้นหรอก และต้องรับผิดชอบมากกว่านายสุเทพด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่ามอบอำนาจให้ใครแล้ว แต่มันต้องรับผิดชอบทั้งนั้น
@ คนที่ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติการควรรับผิดชอบ
ต้องรับผิดชอบตามลำดับขั้น แต่ควรเป็นไปตามขั้นตอนยุติธรรม อย่าเป็นไปตามคำกล่าวหากัน ตอนนี้เจ้าหน้าที่โดนร้องเรียนเยอะ กองทัพได้รับร้องเรียนเยอะ แต่ผู้ใหญ่ห้ามปรามกันเยอะ ว่าทหารออกไปเสี่ยงชีวิต ทหาร 1 นายคุมอาวุธและรถ แต่โดนผู้ชุมนุมปิดล้อม ทหารถือปืน หากลั่นไกไปอาจติดคุก หากไม่ลั่นไกก็โดนตีตายได้
@ ในการทำงานกับ ศอฉ. กระบวนการยุติธรรมตอนนี้ เพ่งเล็งไปยังนายสุเทพกับนายอภิสิทธิ์มาก มองอย่างไรในจุดนี้
ไม่ขอพูดถึง แต่ประหลาดใจว่าไม่น่ากลับตาลปัตรแบบนี้ การสั่งการและดำเนินการต่างๆ ในตอนนั้นทำไปอย่างรอบคอบ และยั้งคิดอย่างมาก รวมทั้งยังผ่านประสบการณ์เรื่องนี้มาพอสมควรตั้งแต่ปี 2551-2553 ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประสบการณ์เลย แต่เวลาผ่านมาระยะหนึ่งก็มุ่งกลับมา
เรียนแล้วว่าเหตุการณ์ปี 2553 เป็นการออกไประงับเหตุและรักษาความสงบเรียบร้อย เพราะมีการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่กระแสตอนนี้กลับมองว่าออกไปฆ่าประชาชน และคิดว่าไม่ยุติธรรม ผมเรียนว่าเจ้าหน้าที่รัฐโดนต่อว่าด้วยซ้ำ ว่ารักษาบ้านเมืองอย่างไรถึงมีคน มาบุกรุกและนำประเทศเป็นตัวประกันได้แบบนี้ และคิดว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอย่างอะลุ่มอล่วยด้วยซ้ำ และไม่อยากสรุปตรงนี้เอง แต่ขอให้ไปย้อนทบทวนสถานการณ์ตอนนั้น
@ ที่สุดแล้วสังคมต้องการความเป็นธรรมในตอนนี้แล้วหรือไม่
มันควรเรียกร้องจากสองฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ แต่เหตุผลมันฟังไม่ได้ มันเป็นกฎของการกระทบกัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่าโดนผลัก แต่ควรฟังส่วนที่เป็นกลางและยุติธรรม ข้อเท็จจริงนั้นมันมีหนึ่งเดียว การเข้าหาความเป็นธรรมนั้นควรอาศัยองค์กร แต่องค์กรไม่สำคัญเท่าดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ในองค์กรนั้น ผมหวังว่าหากนำชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดได้เจ้าหน้าที่รัฐควรทำงานแบบสุจริต ในวิชาชีพ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด
@ จะเรียกร้องจุดนี้ดังๆได้เช่นใด แม้แต่ตัวเองยังไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย
เรื่องของผมมันเรื่องเล็ก ลาภ ยศ สรรเสริญ มันเป็นหมอกควันผ่านตา ตอนนี้ผมคิดว่าโดนกระทำอยู่ แต่อีกฝ่ายบอกว่าสาสมกลับการโดนกระทำ มันควรเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เรื่องของตนอยู่ที่ศาลปกครอง
@ สังคมควรเรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นใด
การชุมนุมเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และในข้างหน้ามันก็มีอีก ฉะนั้นควรมีกฎขึ้นมา เจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติการต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง หากบ้านเมืองไม่รักษาตรงนี้ให้ดี มันจะเป็นประโยชน์ในระยะสั้นของบางคน แต่ระยะยาวบ้านเมืองจะทุกข์ทรมานเพราะสิ่งนี้
