“ไม่แก่เกินเรียน”ของแท้ มหาบัณฑิต“รัฐศาสตร์”มธ.วัย 68 ปี

“ไม่มีใครแก่เกินเรียน”ของแท้ เปิดตัว“ปรีเปรม มหากนก”อดีตนักกีฬาเหรียญเงินเอเชียนเกมส์วัย 68 ปีคว้าปริญญาโท EPAรัฐศาสตร์ มธ.“ยิ่งเรียนทำให้รู้ว่าเรายิ่งโง่”
นอกจากทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ กรณีนายบารมี พานิช หรือ “เด่นจันทร์”ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุญาตให้แต่งชุด “บัณฑิตหญิง” เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ในปีการศึกษา 2554 ตามคำร้องที่ผ่านการรองเป็นกรณีพิเศษ วันที่ 30 สิงหาคม 2555 ยังมีนักศึกษาอีกคนหนึ่งจากจำนวนทั้งหมด 8,199 คนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารจัดการสาธารณะ (EPA) คณะรัฐศาสตร์ คือ“ปรีเปรม มหากนก”
มิใช่เพราะ“ปรีเปรม”อดีตนักกีฬาแบดบินตันทีมชาติ ดีกรีเหรียญเงินเอเชี่ยนเกมส์ ปี 2506 นักกีฬาทีมชาติไทยในการแข่งขัน“อูเบอร์คัพ”ของสหพันธ์แบดบินตันโลก และอดีตแอร์โฮสเตสการบินไทยเท่านั้น หากแต่ยังพ่วงสถิติอายุ 68 ปี
เป็นมหาบัณฑิตที่อายุมากสุดของสาขาวิชาการบริหารจัดการสาธารณะนับตั้งแต่เปิดการเรียนการสอนเมื่อ 22 ปีที่แล้ว
ปัจจุบัน“ปรีเปรม”เป็นวิทยากรพิเศษให้หลายสถาบัน อาทิ อบรมพนักงานบริการในโรงแรม เครือโรงแรมเรดิสัน วิทยากรพิเศษ อบรมพนักงานบริการในโรงแรมทั่วไป วิทยากรพิเศษอบรมนักศึกษาปริญญาตรี หลักสูตรบุคลิกภาพความเป็นไทย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แรงบันดาลใจที่ตัดสินใจเข้าชั้นเรียน มิใช่เพราะอยากมีเพื่อน อยากมีเครือข่ายซึ่งไม่มีความจำเป็น เพราะเคยมีตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริการอากาศยานและอุปกรณ์ภาคพื้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พ้นจากหน้าที่มานานแล้ว หากเป็นเพราะอยากใฝ่เรียนรู้จริงๆ
“เมื่อครั้งพี่เป็นนักกีฬาแบดมินตัน วิ่งออกกำลังกายรอบสนามหลวง พี่เห็นโดมท่าพระจันทร์ก็รู้สึกศรัทธา เนื่องจากคุณพ่อเคยเป็นเสรีไทย ประกอบกับเมื่อโตขึ้นเข้าทำงาน ผู้ใหญ่ในการบินไทยซึ่งเป็นศิษย์เก่าโครงการ EPA ถามว่าคุณแป๊ะ(ปรีเปรม)ไม่สนใจศึกษาต่อบ้างหรือหากสนใจก็ควรเรียนที่ธรรมศาสตร์นะ ก็ตอบว่าสนใจ”
“ปรีเปรม”เป็น EPA รุ่น 22 เพื่อนร่วมชั้นหลากปูมหลัง วิชาชีพ และอายุ บางคนวัยคราวหลาน
พอเข้ามาเรียนใหม่ๆก็ต้องปรับตัว ปรับความคิด เพื่อนๆบางคนหรือแม้กระทั่งผู้บรรยายถามว่า “คุณปรีเปรมเรียนให้เหนื่อยทำไม เพราะพ้นวัยทำงานมาแล้ว ทำไมไม่อยู่บ้าน”
“คำพูดแบบนั้นพี่เห็นว่าเป็นทัศนคติที่คับแคบ เพราะไม่มีใครแก่เกินเรียน ยิ่งเรียนเรายิ่งรู้มากขึ่นเท่าไหร่ ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเรายิ่งโง่มากขึ้นเท่านั้น เพราะยังมีชุดความรู้ที่เรายังไม่รู้อีกมาก ก่อนหน้านี้บางเรื่องพี่เองก็คิดนะว่าตัวเองรู้แล้ว เก่งแล้ว แต่เมื่อมาเรียนมาฟังบรรยาย ทำให้เรารู้ว่าที่ผ่านมาเรารู้ไม่จริง รู้ไม่หมด รู้ไม่ถูกต้อง และถ้าย้อนเวลาได้ก็จะเอาความรู้ที่ถูกต้องที่ได้จากห้องเรียนกลับไปถ่ายทอดให้น้องๆ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสจะทำใหม่กับใคร ๆที่พี่ไปสอนไปบรรยาย”
เธอเล่าว่าสิ่งที่ได้จากห้องเรียนอีกประการ “ความอดทน”
“ช่วงเวลา 2 ปีที่พี่มาเรียน เจอเพื่อน เจออาจารย์ เจอใครเยอะแยะไปหมด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยแวดล้อมที่เข้ามากระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ บางครั้งก็ทำให้รู้สึกบ้าง แต่อยากบอกว่าทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวพี่เอง ต้องวางเฉยกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
เมื่อโทษคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องย้อนกลับมาปรับตัวเอง
เธอบอกว่า เรียนจบถือเป็นเกียรติประวัติ แต่ปริญญาบัตรมิใช่สิ่งเชิดหน้าชูตา การได้เรียนรู้ต่างหากที่มีคุณค่าและคุ้มค่าที่สุดในชีวิต
เมื่อถามถึงบทบาท “ธรรมศาสตร์”ต่อสาธารณะ เธอบอกอย่างไปตรงมาว่าควรปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีการปลูกฝังในเรื่องจริยธรรมให้มากขึ้น
“พี่พูดตรงๆ ความเป็นธรรมศาสตร์มันมีคุณค่ามหาศาล อย่างเพลงยูงทองควรปลูกฝังให้ทุกคนซึมซับ ให้รู้สึกว่าตัวเรามีรากแก้ว อย่าทำให้ใครพูดได้ ใครจ่ายเงินเขามาเรียนแล้วก็จบออกไปได้ อย่าให้ใครพูดอย่างนั้น”
“ถามว่าพี่ผิดหวังไหมในช่วง 2 ปี พี่ไม่ผิดหวัง เพราะมีหลายอย่างที่พี่ได้ อย่างน้อยพี่ได้เรียนรู้ว่าคุณค่าของตัวเรามิได้อยู่ที่คนอื่น หากอยู่ที่ตัวเราเอง”
ปัจจุบัน“ปรีเปรม”ดำรงตนเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อาทิ จัดหาเงินช่วยเหลือมูลนิธิเด็กตาบอด ปัญญาอ่อน อุปการะเด็กมูลนิธิสงเคราะห์เด็กยากจน จัดหาทุนโครงการแก้วตาเทียมให้แก่ผู้ยากจน จัดหาทุนและอุปกรณ์เพื่อสร้างขาเทียมให้ผู้พิการยากจน ฯลฯ
มีคุณค่าตามแบบฉบับ“ไม่แก่เกินเรียน”ของแท้
