ทิศทางบริหารการเงิน-อัตราแลกเปลี่ยน ระวัง! อย่าเดินซ้ำรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง
ขณะที่ข้อมูลข่าวสารบ้านเมือง มีออกมามากมายหลายเรื่อง ในเรื่องที่เป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ (Economic Risks) ที่แท้จริงของประเทศนั้น ผมเห็นว่า ขณะนี้ มีอีก 2 เรื่องด้านนโยบายการบริหารด้านการเงิน คือ (1) ประเด็นการปรับเปลี่ยนกรอบการดูแลอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) อาจถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rates Targeting) แทน และ (2) ประเด็นการก่อสินเชื่อไร้คุณภาพในสถาบันการเงิน โดยเฉพาะในธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จากการจำนำข้าวในราคาสูง ที่ทำให้ผมต้องฝันร้ายนึกถึงสมัยปี 2540 อีกครั้งหนึ่ง
ในประเด็นแรก เป็นเรื่องที่ชวนให้นึกถึงฝันร้ายช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 อย่างแท้จริง เพราะช่วงนั้น ประเทศไทย ก็ใช้เป้าหมายการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ ธปท. ต้องใช้ทุนสำรองแทรกแซงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงสัญญาล่วงหน้าต่างๆ จนขาดทุนไปหลายแสนล้านบาท จากระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่เคยมีในระดับ 4 หมื่นล้านเหรียญ (สรอ.) เหลือสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ !
การที่อัตราแลกเปลี่ยน คือ “ราคา” ของค่าเงิน นั้น เป็นสิ่งที่กำหนดได้โดยนโยบาย ซึ่งกำหนดโดยคนไม่กี่คนนั้น มี “ความเสี่ยง” ต่อเรื่อง ความโปร่งใส การใช้ข้อมูลภายใน และการสร้างประโยชน์ของ “คนกันเอง” เป็นอย่างมาก
ดังช่วงหนึ่ง ธปท. ต้องใช้ทุนสำรองมหาศาล เพื่อแทรกแซงค่าเงินบาท ให้ยืนอยู่ได้ วันนั้น เข้าใจว่าบาทได้แข็งค่าถึง 22 บาท / ดอลลาร์ แสดงว่า ธปท. ต้องใช้ทุนสำรอง ซื้อเงินบาท ขายดอลลาร์ คือ ขายดอลลาร์ออกที่ 22-25 บาท / ดอลลาร์ ไม่ต้องสงสัยว่า แล้วจะขาดทุนเท่าไร เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเวลาต่อมา กลายเป็น 30, 40, 50 บาท / ดอลลาร์ และกลับกัน ผู้ที่ซื้อดอลลาร์ไว้ในราคาถูกเช่น 22-25 บาท/ดอลลาร์ จะกำไรเท่าไรเมื่อค่าเงินบาทถูกทุบจนอ่อนตัวลงไป
แต่ช่วงนั้น เราได้เห็นข่าวนักการเมืองชนแก้วไวน์ แสดงความยินดีกันว่าต่อสู้ชนะ โดยขายดอลลาร์ออกไปมหาศาล ในอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกเมื่อเทียบกับเงินบาท
และหากติดตามข่าวกันเรื่องปริศนา กองทุนลับ “วินมาร์ค” ที่นำเงินเข้ามาซื้อหุ้นจากครอบครัวอดีตผู้นำนับพันล้านบาท ช่วงก่อนเลือกตั้งสำหรับการเข้าดำรงตำแหน่งครั้งแรก ก็น่าสงสัยว่า กองทุนวินมาร์คนั้น มีเงินมากมายมาจากไหน ? ตั้งแต่ก่อนดำรงตำแหน่งนายกฯอีกด้วย
และหากหา Google “เสนาะ ปราศรัย เผาบ้านเมือง เอาประกัน” ก็จะพบเนื้อหาน่าสนใจ เช่น
...“การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยง เรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มากๆ หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤติเพราะได้ประกัน” นายเสนาะกล่าว
วันนั้น ประเทศเสียหายจนเหลือทุนสำรองสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ ต้องใช้เวลาสะสมทุนสำรองมาอย่างเข้มแข็งยาวนาน ปัจจุบัน มีทุนสำรองสูงถึง 1.9 แสนล้านเหรียญ ในช่วงปีที่ผ่านมา และปัจจุบันแม้ลดลงมาบ้าง ก็ยังมีถึง 1.78 ล้านเหรียญ ซึ่งอย่าให้ต้องเสียหายกันคล้ายๆปี 2540 กันอีกเลย
หรือ เรื่องการเผาบ้านเมืองเอาประกันส่วนตัวเป็นเรื่องจริง ? มีคนอยากรวยอีกรอบ ? ก็ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย
สำหรับประเทศ หากเป้าหมายเศรษฐกิจ ไม่ใช่ “เป้าอัตราแลกเปลี่ยน” ธปท. ก็ไม่มีหน้าที่ต้องใช้ทุนสำรองฯไปแทรกแซงค่าเงินมากเกินไป ธปท. เพียงทำหน้าที่ แทรกแซงให้มีเสถียรภาพ ไม่ผันผวนมากจนเอกชนผู้นำเข้าและส่งออกทำงานยากก็พอเพียงแล้ว
และ “เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ” ก็สมควรแล้ว เพราะอัตราเงินเฟ้อ สะท้อนความทุกข์สุขของประชาชน เพราะเป็นการวัดความแพงของสินค้า
ซึ่งแม้การใช้ “อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน” ไม่ใช่ “อัตราเงินเฟ้อทั่วไป” ก็ถูกต้องแล้ว โดยได้ตัดเรื่องราคาพลังงาน และราคาโภคภัณฑ์ประเภทอาหารออกไป เพราะ ราคาผันผวนมากจนคุมไม่ได้ และสร้างความบิดเบือนของอัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินได้ง่าย
ผมจึงเห็นด้วยว่า ธปท. น่าจะรักษานโยบาย “เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ” ต่อไป
ในประเด็นที่สอง คือ การสะสมหนี้คุณภาพต่ำ อย่างกรณีสะสมการจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท/ตัน การจำนำนั้น โดยหลักการ ก็คือการปล่อยสินเชื่อ และมีสินทรัพย์ที่ใช้จำนำนั้น ค้ำประกัน แต่ในเมื่อ ธกส. ต้องรับจำนำในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ก็ทำให้โอกาสที่จะเป็นจำนำขาดจะมีสูงมาก และหากต้องนำขายทอดตลาดในช่วงราคาต่ำ ก็จะขาดทุนมหาศาล ซึ่งก็จะเป็นปัญหาจากการสะสมสินเชื่อคุณภาพต่ำเกินไป
ในยุคหนึ่ง หนี้ที่สะสมในสถาบันการเงินที่มีปัญหา เริ่มตั้งแต่ ธนาคารกรุงเทพพาณิชยาการ ก็ทำให้ในที่สุด รัฐบาลต้องประกาศปิดสถาบันการเงินในที่สุด 56 แห่ง สินเชื่อคุณภาพต่ำและคุณค่าต่ำที่สะสมไว้หลายแสนล้าน ก็ทำให้ประเทศขาดทุนหลายแสนล้านบาท
สิ่งที่นักการเมืองทำได้ในยุคนั้น คือ สร้างเรื่องเท็จ ใส่ร้าย ปรส. ว่าขายขาดทุน แต่ก็เป็นเพราะ ของที่ขายนั้น คุณภาพต่ำ เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา เมอริลลินช์ขายตราสารหนี้ในมือออก ที่ราคา 22 เซนต์/ดอลลาร์ ไม่มีใครตำหนิการขาย หรือ ผู้ขาย เขารู้ และเขาก็ตำหนิอย่างถูกต้องว่า ขั้นตอนการปล่อยสินเชื่อนั้น หละหลวม ทำให้ได้สินทรัพย์คุณภาพไม่ดี และมีมูลค่าที่แท้จริงต่ำ ทำให้ขาดทุนมหาศาล
เรื่องความไม่โปร่งใสต่อนโยบายเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน และการสะสมหนี้คุณภาพต่ำ คุณค่าต่ำ ทำความเสียหายให้เศรษฐกิจไทยอย่างมากในปี 2540 ...ผมหวังว่า จะไม่กลับมาสร้างฝันร้ายและเรื่องร้ายให้กับเศรษฐกิจไทยกันอีกในรอบต่อไป...ขณะนี้ ยังมีเวลา ขอให้กำลังใจผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ดำเนินนโยบายกันด้วยความรอบคอบ เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง แข็งแรง เติบโตอย่างยั่งยืนตลอดไปครับ
([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
:: ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
