กฤษฎีกา เปิด 3 ช่อง พรบ.ล้างมลทิน ช่วย “ยงยุทธ” พ้นผิดคดีอัลไพน์
เปิด ค.กฤษฎีกา พบ 3 ช่อง พ.ร.บ.ล้างมลทิน ช่วย "ยงยุทธ" พ้นผิดวินัยคดีอัลไพน์ ไม่ต้องหลุดเก้าอี้รมต.-ส.ส.ได้ แต่ต้องเคยถูกตั้งกก.สอบ แล้ว "ยุติเรื่อง-รับโทษแล้ว-ล้างผิดแล้ว"

จากกรณีที่นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงมหาดไทย เตรียมหยิบ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ขึ้นมาโน้มน้าวไม่ให้คณะอนุกรรกมารข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทย มีมติลงโทษทางวินัยตามที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงในคดีดังกล่าว ว่า จะต้องไปดูก่อนว่ากระทรวงมหาดไทยเคยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางวินัยกับนายยงยุทธก่อนหน้านี้หรือไม่ ถ้าไม่มีก็จบ อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทยต้องมีมติตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไป คือ ไล่ออก, ปลดออก หรือให้ออก แต่ถ้ามีต้องไปดูแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีความเห็นไว้
(ดูความเห็น กรรมการ ป.ป.ช.รายนี้จาก "วิชา" ชี้ 2 ปม "ยงยุทธ" อาจรอดคดีอัลไพน์ )
ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวอิศรา” ได้ตรวจสอบ ก่อนว่าพบเรื่องที่น่าจะเกี่ยวข้อง ได้แก่ เรื่องเสร็จที่ 234/2552 กรณีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ขอหารือกรณีปัญหาการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน (กรณีที่ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ สมัยเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ สมัยเป็นรองเลขาธิการ ปปง. ถูก ป.ป.ช.มีมติ เมื่อปี 2552 ให้ลงโทษทางวินัยร้ายแรง หลังจากที่เคยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรงแล้วเห็นว่าไม่มีความผิด โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีได้สั่งยุติเรื่อง ในปี 2545 จากกรณีใช้อำนาจของ ปปง.เข้าตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของสื่อ เอ็นจีโอ และนักการเมือง รวมกว่า 200 คน) โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1, 2 และ 11 ร่วมกันพิจารณา ก่อนมีความเห็น 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้
1.ถ้าผู้บังคับบัญชาได้ดำเนินการทางวินัย แล้วมีคำสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่การลงโทษทางวินัย หรือให้ยุติเรื่อง หรือให้งดโทษ ก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทิน มีผลบังคับใช้ (5 ธ.ค.2550) ผู้นั้นย่อมได้ประโยชน์จากการล้างมลทิน แม้ต่อมา ป.ป.ช.จะมีมติชี้มูลความผิด แต่ผู้บังคับบัญชาก็ไม่สามารถดำเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้อีก
2.เมื่อผู้ถูกดำเนินการทางวินัยเป็นผู้ถูกลงโทษไปแล้ว ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน ก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวประกาศใช้ จึงเป็นไปตามเงื่อนไขที่ทำให้ได้รับการล้างมลทิน จึงไม่อาจดำเนินการทางวินัยกับผู้นั้นได้อีกต่อไป
3.หากผู้ถูกดำเนินการทางวินัยยังไม่ได้รับโทษ จะทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ดังนั้น จึงดำเนินการทางวินัยกับผู้นั้นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติได้
4.ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยที่ได้รับการล้างมลทินแล้ว แม้ต่อมา ป.ป.ช.จะมีมติชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงอีก แต่ผู้บังคับบัญชาย่อมไม่อาจดำเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้อีกต่อไป
