เปิดบันทึกกฤษฎีกา แย้งคำ "ปลอด" อ้างมึนๆ “ยงยุทธถูกล้างมลทินแล้ว?"
เปิดความเห็นกฤษฎีกา ถึง 3 คณะ ที่เห็นต่างจาก "ปลอดประสพ" ที่อ้างว่า "ยงยุทธ" ถูกล้างมลทินจากคดีที่ดินอัลไพน์ไปนานแล้ว ?

จากกรณีที่ “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อ้างว่า “นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงมหาดไทย ได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ไปแล้ว ทำให้กรณีที่คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) เตรียมพิจารณาบทลงโทษทางวินัยร้ายแรง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดในคดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
จะไม่ส่งผลให้นายยงยุทธต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีหรือ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 102(6) และมาตรา 174(4) แต่อย่างใด !
เพราะเหตุเกิดเมื่อปี 2546 สมัยนายยงยุทธเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ก่อนปี 2550 เข้าเงื่อนไขของ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 พอดี
ทั้งนี้ นายปลอดประสพยังได้ยกกรณีของตัวเองขึ้นมาเปรียบเทียบ เพราะได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ให้ไม่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรง จากกรณีให้บริษัท ศรีราชาไทเกอร์ซู จำกัด ส่งออกเสือโคร่งเบงกอล จำนวน 100 ตัวไปยังประเทศจีนสมัยเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ สาเหตุเพราะการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2544 ก่อน พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เช่นกัน
“คำถามคือ ป.ป.ช.มีมติให้ลงโทษทางวินัยกับคุณยงยุทธตอนนี้หรือย้อนหลัง ก็ย้อนหลังใช่ไหม เมื่อลงโทษย้อนหลังก่อนปี 2550 พ.ร.บ.ล้างมลทินก็ต้องมีผลสิ ถ้าคุณลงโทษเขาวันนี้อย่างนี้ถึงจะใช้ พ.ร.บ.ล้างมลทินไม่ได้ แต่คุณไปลงโทษเขาวันนี้ไม่ได้ เพราะคุณยงยุทธเขาไม่ใช่ข้าราชการแล้ว” คือ keyword สำคัญของนายปลอดประสพ
(อ่านความเห็นนายปลอดประสพ ฉบับเต็มๆ ได้ที่ “ปลอดประสพ” อ้าง “ยงยุทธ” ถูกล้างมลทินนานแล้ว ถึงโดนไล่ออกก็ไม่หลุด รมต.-ส.ส.)
อย่างไรก็ตาม “สำนักข่าวอิศรา” ตรวจสอบพบว่า ความเห็นดังกล่าวของนายปลอดประสพ ดูเหมือนจะขัดแย้งกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ประชุมร่วมกันถึง 3 คณะ ได้แก่คณะที่ 1 คณะที่ 2 และคณะที่ 11 ในเรื่องเสร็จที่ 234/2552 ที่มีข้อความบางตอนระบุว่า “หากผู้ถูกดำเนินการทางวินัยยังไม่ได้รับโทษทางวินัยตามเงื่อนไขที่จะทำให้ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ล้างมลทิน จึงทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ดังกล่าว ดังนั้น จึงดำเนินการทางวินัยกับผู้นั้นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติต่อไปได้”
แปลง่ายๆ ว่าถ้าผู้ถูกดำเนินการทางวินัย (เทียบเคียงได้กับนายยงยุทธ) ยังไม่ได้รับโทษทางวินัยตามเงื่อนไขในมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ล้างมลทิน ซึ่งระบุว่า ผู้นั้นจะต้องได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวใช้บังคับ (5 ธ.ค.2550)
ให้ถือว่าผู้ถูกดำเนินการทางวินัย (นายยงยุทธ) ไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จึงดำเนินการทางวินัยกับผู้นั้นตามที่ ป.ป.ช.มีมติต่อไปได้
สำหรับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในกรณีดังกล่าว มีีรายละเอียดดังต่อไปนี้
...................................
"เรื่องเสร็จที่ 234/ 2552
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ขอให้ทบทวนปัญหาการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) ได้มีหนังสือ ที่ นร 1011/20 ลงวันที่ 20 ม.ค. 2552 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0901/1011 ลงวันที่ 5 ก.ย.2551 แจ้งว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 11) พิจารณาข้อหารือและมีความเห็นปรากฏตามบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 675/2551 ประเด็นที่หนึ่ง
ข้อ 1.1 กรณีที่มีการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการและผู้บังคับบัญชาได้สั่งยุติ เรื่อง งดโทษ ลงโทษ หรือกรณีที่สั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัย เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลความผิดในกรณีเดียวกันแก่ข้าราชการผู้นั้นก่อนที่ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 จะใช้บังคับ ต่อมาเมื่อมี พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ใช้บังคับ ผู้บังคับบัญชาก็ยังต้องดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 93 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 เนื่องจากกระบวนการดำเนินการทางวินัยยังไม่เสร็จสิ้น ถือไม่ได้ว่าผู้นั้นได้รับโทษก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ใช้บังคับ อันจะทำให้ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 5
และข้อ 1.2 ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดหลังจาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 ใช้บังคับแล้ว แม้การดำเนินการของผู้บังคับบัญชาจะเสร็จสิ้น แต่เมื่อการดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่เสร็จ ก็จะถือว่ากระบวนการทางวินัยเสร็จสิ้นแล้วไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งลงโทษตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติได้ในประเด็นที่หนึ่งทั้ง 2 กรณีดังกล่าว นั้น
สำนักงาน ก.พ.และผู้แทนองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่นได้ประชุมพิจารณา และมีความเห็นร่วมกันว่า ปัญหานี้มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อข้าราชการการฝ่ายพลเรือน และเจตนารมณ์ในการออก พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ควรขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย) พิจารณาทบทวนปัญหาตามประเด็นที่หนึ่ง โดยมีข้อสังเกตเพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้
1.พ.ร.บ.ล้างมลทินเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและให้เกิดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ จึงเห็นควรให้ออกกฎหมายดังกล่าว การออกกฎหมายในลักษณะนี้ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติจนถึงปัจจุบัน มีเพียง 6 ฉบับ เฉพาะในวโรกาสที่สำคัญเท่านั้นซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจทางรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายนี้ขึ้น กฎหมายดังกล่าวจึงควรจะเป็นกฎหมายพิเศษ ที่มีผลยกเว้นให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจในกรณีปกติไม่มีอำนาจดำเนินการทางวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนหรือกฎหมายอื่นใด รวมทั้งกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกับผู้ถูกลงโทษทางวินัยที่ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 5 หรือผู้ได้รับประโยชน์ตามมาตรา 6
2. ข้าราชการที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงที่เป็นปัญหานี้ เป็นผู้อยู่ในเงื่อนไขและได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 5 หรือได้รับประโยชน์ให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกพิจารณาเพิ่มโทษหรือถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีนั้น ๆ ต่อไปตามมาตรา 6 และปัญหานี้จะต้องนำกฎหมายว่าด้วยการล้างมลทินมาเป็นหลักพิจารณาควบคู่กันไปด้วยตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย) ได้เคยพิจารณามีความเห็นและได้ถือเป็นหลักปฏิบัติมาเป็นเวลานานแล้ว
คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย) มีความเห็นต่อไปด้วยว่า กฎหมายว่าด้วยการล้างมลทินมีผลให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนหรือระเบียบข้าราชการครู ไม่มีอำนาจพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการผู้ถูกลงโทษทางวินัยที่ได้รับการล้างมลทินแล้ว
3. แนวทางพิจารณาตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 11) เรื่องเสร็จที่ 675/2551 เป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการเดิมที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย) ได้ถือปฏิบัติตลอดมา ซึ่งจะก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้กฎหมายอย่างยิ่ง เช่น เมื่อข้าราชการผู้ใดได้รับการล้างมลทินแล้ว ผู้บังคับบัญชาไม่มีอำนาจดำเนินการเพิ่มโทษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน แต่กลับมีอำนาจดำเนินการได้ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประกอบกับกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน เป็นต้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ล้างมลทิน ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.บ.นี้ขึ้นเนื่องในวโรกาสซึ่งเป็นมหามงคลกาลอันสำคัญยิ่ง เพื่อเป็นการถวายพระราชกุศล และเป็นการเฉลิมพระเกียรติและให้เกิดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดังนั้น ควรถือว่า พ.ร.บ.ล้างมลทินเป็นกฎหมายพิเศษที่ยกเว้นกฎหมายทั่วไป
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่าข้อหารือดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะในหลายด้าน จึงเห็นควรจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1 คณะที่ 2 และคณะที่ 11) เพื่อปรึกษาหารือร่วมกันเป็นกรณีพิเศษ ตามข้อ 12 วรรคหนึ่ง ของระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการประชุมของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522
คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1 คณะที่ 2 และคณะที่ 11) ได้พิจารณาทบทวนปัญหาข้อหารือของสำนักงาน ก.พ. โดยมีผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงาน ก.พ.) และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า การที่มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ได้บัญญัติให้ล้างมลทินแก่ผู้ถูกลงโทษทางวินัยซึ่งได้รับโทษหรือทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทินใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัย และมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวก็ได้บัญญัติให้ล้างมลทินแก่ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัยหรือผู้ที่ผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้ยุติเรื่องหรืองดโทษไปแล้ว โดยให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกเพิ่มโทษหรือถูกดำเนินการทางวินัยอีกนั้น ย่อมมีความหมายว่า พ.ร.บ.ล้างมลทินมีความประสงค์ที่จะให้ลบล้างมลทินการถูกลงโทษทางวินัยหรือการดำเนินการทางวินัยที่ยุติแล้วให้มีผลเป็นที่สิ้นสุด โดยไม่อาจหยิบยกการถูกลงโทษทางวินัยหรือการดำเนินการทางวินัยนั้นขึ้น พิจารณาดำเนินการใหม่เพื่อลงโทษทางวินัยหรือดำเนินการทางวินัยจากมูลเหตุเดียวกันนั้นได้อีก ไม่ว่าการลงโทษหรือการดำเนินการทางวินัยนั้นจะเป็นการกระทำโดยกฎหมายใด ถ้าอยู่ในเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.นี้ย่อมได้รับผลจากการล้างมลทินเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาตามข้อหารืออาจมีกรณีข้อเท็จจริงแตกต่างกันเกี่ยวกับขั้นตอน และระยะเวลาในการดำเนินการทางวินัย จึงเห็นควรพิจารณาเป็นแต่ละกรณี ดังต่อไปนี้
1. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้ดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาและสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัย หรือสั่งยุติเรื่องหรืองดโทษไปแล้ว ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดไปยังผู้บังคับบัญชาตามมาตรา 92 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ว่าข้าราชการดังกล่าวกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยชี้มูลก่อนวันที่ 5 ธ.ค.2550 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 ในขณะที่ผู้บังคับบัญชากำลังดำเนินการตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ร.บ.ล้างมลทินมีผลใช้บังคับแล้ว กรณีนี้จะต้องดำเนินการทางวินัยตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลหรือไม่
กรณีนี้เห็นว่า การที่ผู้บังคับบัญชาได้ดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชา และมีคำสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัย หรือมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง หรืองดโทษ ก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับ ผู้นั้นย่อมได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน เพราะเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งมีผลให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกเพิ่มโทษหรือถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีนั้นๆ ต่อไป อันเป็นผลทางกฎหมายที่บัญญัติรับรองไว้ ดังนั้น แม้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติว่าเป็นการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง ตามมาตรา 92 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แต่เมื่อผู้นั้นได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาจึงไม่สามารถดำเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้อีกต่อไป
2. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้นั้นได้รับโทษทั้งหมดหรือบางส่วนแล้ว ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง แต่ในระหว่างที่ผู้บังคับบัญชากำลังดำเนินการอยู่นั้น พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับ กรณีนี้จะได้รับการล้างมลทินหรือไม่
กรณีนี้เห็นว่า ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยเป็นผู้ถูกลงโทษทางวินัยตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 เมื่อผู้นั้นได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับ จึงเป็นไปตามเงื่อนไขที่ทำให้ได้รับการล้างมลทิน ย่อมได้รับประโยชน์ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวแล้ว จึงไม่อาจดำเนินการทางวินัยกับผู้นั้นได้อีกต่อไป
3. กรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้สั่งลงโทษทางวินัยแก่ข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว แต่ผู้นั้นยังไม่ได้รับโทษทางวินัย ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรงตามมาตรา 92 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ในระหว่างที่ผู้บังคับบัญชากำลังดำเนินการตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับ กรณีนี้จะได้รับการล้างมลทินหรือไม่
กรณีนี้เห็นว่า หากผู้ถูกดำเนินการทางวินัยยังไม่ได้รับโทษทางวินัยตามเงื่อนไขที่จะทำให้ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 จึงทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ดังกล่าว ดังนั้น จึงดำเนินการทางวินัยกับผู้นั้นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติต่อไปได้
4. กรณีที่มีการดำเนินการทางวินัยแล้ว แต่ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัย หรือสั่งให้ยุติเรื่องหรืองดโทษ ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรงภายหลังจากที่ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับ กรณีนี้จะได้รับการล้างมลทินหรือไม่
กรณีนี้เห็นว่า ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยอยู่ในเงื่อนไขที่ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ซึ่งมีผลทำให้ไม่อาจดำเนินการเพิ่มโทษหรือดำเนินการทางวินัยในมูลกรณีเดียวกันได้อีกต่อไป ดังนั้น ภายหลังจากที่ผู้นั้นได้รับผลจากการล้างมลทินแล้ว แม้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง ตามมาตรา 92 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ก็ตาม ผู้บังคับบัญชาย่อมไม่อาจดำเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้อีกต่อไป
(ลงชื่อ) พรทิพย์ จาละ
(คุณพรทิพย์ จาละ)
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
พ.ค.2552”
...................................
-หมายเหตุ-
พ.ร.บ.หมายถึง "พระราชบัญญัติ"
พ.ร.ป.หมายถึง "พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 มีชื่อเต็มๆ ว่า "พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550" มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2550
มาตรา 5 ระบุว่า "ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค.2550 และได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีนั้นๆ"
มาตรา 6 ระบุว่า "บรรดาผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัยก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค.2550 และบรรดาผู้ถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีกระทำผิดวินัย ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้สั่งยุติเรื่องหรืองดโทษก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค.2550 ให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกพิจารณาเพิ่มโทษหรือถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีนั้นๆ ต่อไป"
