เกือบ2ปีไม่คืบหน้า ป.ป.ช.ดองคดีเปลี่ยนองค์คณะศาลปค.สูงสุด กรณีเขาพระวิหาร?

เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี นับแต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ให้รับเรื่องที่นายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุดถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดในการ พิจารณาคดี กรณีรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ปรากฏว่า คดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีมติซ้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ให้ไปสอบปากตุลาการและอดีตตุลาการศาลปกครองสูงสุดจำนวน 5 คนที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีดังกล่าวและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน
แต่จนบัดนี้ ยังไม่มีการดำเนินการใดๆทำให้ผู้คนในศาลปกครองเกิดข้อสงสัยว่า มีการวิ่งเต้นของผู้บริหารศาลปกครองบางคน จนทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ยอมเรียกตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่เกี่ยวข้องไปให้ปากคำ
ก่อนจะมาดูรายละเอียดว่า มีความพยายามเตะถ่วงการไต่สวนของ ป.ป.ช. หรือไม่ อย่างไร น่าจะมาทบทวนว่า คดีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
เมื่อประมาณกลางปี 2553 มีผู้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า นายอักขราทร จุฬารัตน ขณะดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ใช้อำนาจโดยมิชอบในการสั่งเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่พิจารณาคดีคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวที่มิให้นำมติ ครม.นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ซึ่งสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปดำเนินการใดๆ ทั้งๆที่องค์คณะมีมติด้วยเสียงข้างมากไม่รับคดีไว้พิจารณาแล้ว
ก่อนหน้าที่ศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณาคดีดังกล่าว กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยื่นฟ้อง ครม.นายสมัครและกระทรวงการต่างประเทศต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้เพิกถอนมติครม.ที่สนับสนุนให้มีการออกแถลงการณ์สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมิให้นำมติ ครม.ไปดำเนินการใดๆ
ต่อมา ครม.นายสมัคร อุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งนายอัขราทรได้สั่งให้จ่ายสำนวนให้แก่องค์คณะที่มี นายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะและเจ้าของสำนวน องค์คณะตุลาการอีก 4 คน ประกอบด้วย นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายเกษม คมสัตย์ธรรม นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
ปรากฏว่า องค์คณะมีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้กลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง ไม่รับคดีไว้พิจารณาเพราะไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง โดยฝ่ายเสียงข้างมากได้แก่ นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์
ขณะที่ยังไม่ลงนามในคำสั่งครบทั้งองค์คณะ อดีตผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเปลี่ยนมาใช้องค์คณะฯที่ 1 ซึ่งมีนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดขณะนั้น เป็นหัวหน้าคณะเป็นผู้พิจารณาแทน และมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง
จากข้อร้องเรียนดังกล่าว ระบุว่า การออกคำสั่งเปลี่ยนองค์คณะกลางคัน น่าจะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะองค์คณะมีการพิจารณาคดีนี้ไปแล้ว การสละสำนวนจึงไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจเนื่องจากมีผลต่อความเป็นอิสระของตุลาการ เพราะถ้าผู้จ่ายสำนวนสามารถเลือกได้ว่า จะจ่ายสำนวนให้องค์คณะใดได้ตามอำเภอใจ อาจจะทำให้เกิดการวิ่งเต้นหรือทำให้การพิพากษาคดีเป็นไปตามที่ผู้จ่ายสำนวน ต้องการได้
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (มาตรา 56) จึงวางหลักเกณฑ์ไว้ว่า ต้องจ่ายสำนวนตามความเชี่ยวชาญขององค์คณะ และ/หรือแบ่งตามพื้นที่ความรับผิดชอบขององค์คณะ และ/หรือ จ่ายสำนวนโดยไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้า (ต้องสร้างระบบรองรับ)
เมื่อจ่ายสำนวนแล้ว ห้ามเรียกคืนหรือโอนสำนวน เว้นแต่ทำตาม
1.ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เช่น เมื่อปรากฏเหตุใดๆ ที่กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม
2.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะถูกคัดค้าน
3.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะ มีคดีค้างจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า(ตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีคดีล้นมือทุกคน เหตุผลนี้จึงไม่น่าใช้ข้อที่อาจนำมาอ้างได้)
ดังนั้น คำถามที่เกิดขึ้นคือ นายจรัญ หัตถกรรม ใช้ข้ออ้างว่า มีคดีค้างจนล้นมือก็ควรสละสำนวนตั้งแต่ได้รับคดีมาแต่แรก ไม่ใช่ส่งคืนหลังจากเห็นแนวโน้มว่าจะแพ้เสียงในองค์คณะหรือมีการพิจารณาคดีไปแล้ว? นอกจากนั้น ก่อนสละสำนวนต้องนำเรื่องเข้าพิจารณาในองค์คณะหรือไม่?
หรืออดีตผู้บริหารศาลใช้ข้ออ้างใดในการเรียกสำนวนคืน?
คดีดังกล่าว ถ้ามีการใช้อำนาจหน้าที่ในการเปลี่ยนองค์คณะตุลการโดยมิชอบด้วยกฎหมายจริงเท่ากับเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงเพราะเป็นการแทรกแซงจากผู้บริหารศาลหรือจากภายในกันเอง
การที่จะพิสูจน์ว่า ข้อกล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจหน้าที่สั่งเปลี่ยนองค์คณะโดยมิชอบ นอกจากการตรวจสอบจากเอกสารหลักฐาน(อาจมีการทำลายได้?)แล้ว คือการสอบปกคำองค์คณะตุลาการทั้ง 5 คนซึ่งทราบว่า ตุลาการเสียงข้างมากบางคนที่เห็นว่า คดีปราสาทเขาพระวิหารมิได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองได้เก็บเอกสารหลักฐานไว้ด้วย
แต่ปรากฎว่า นับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ให้สอบองค์คณะตุลาการ กลับยังไม่มีการดำเนินการใดๆ
ได้มีการสอบถามนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.ที่รับผิดชอบสำนวนเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ได้อ้างว่า มีการส่งหนังสือเชิญตุลาการศาลปกครองสูงสุดมาให้ปากคำแล้วแต่เมื่อสอบถามไปยังตุลาการศาลปกครองบางคน ยืนยันว่า ไม่เคยได้รับหนังสือเชิญให้ไปสอบลปากคำแต่อย่างใด
เพื่อความแน่ใจ จึงได้สอบถามเรื่องนี้ต่อ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.อีกครั้งหนึ่งซึ่งได้รับคำยืนยันว่า ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอ้างว่า มีการส่งหนังสือเชิญตุลาการที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำแล้ว แต่เมื่อสอบถามไปยังตุลาการศาลปกครองกลับได้รับคำยืนยันว่า ไม่มีหนังสือมาจาก ป.ป.ช.แต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เกิดความสับสนว่า ฝ่ายใดกันแน่ที่พูดความจริง หรือมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกหก?
หรืออาจมีความพยายามจะฝ่ายใดฝ่ายใดในการเตะถ่วงหรือดองคดีเพื่อหวังล้มคดี เพราะถ้าผลการไต่สวนของ ป.ป.ช.ออกมามาว่า มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมจริง ย่อมกระทบต่อตุลาการระดับ "บิ๊ก"จำนวนหลายคน
ที่สำคัญสะท้อนให้เห็นว่า ต้องมีการปฏิรูประบบในศาลปกครองครั้งใหญ่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการพิจารณาคดีเพื่อให้เกิดความยุติธรรม
