"ความจริงฉบับ คอป." มีชุดดำในเสื้อแดง กองทัพใช้กระสุนจริงและsniper
หมายเหตุ : คำกล่าวของ “นายสมชาย หอมลออ” กรรมการคอป.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง บนเวทีเปิดเผยรายงานของคอป.ฉบับสมบูรณ์ ที่โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน ช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยนายสมชายใช้เวลาในการเปิดเผย “ความจริง เหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 ฉบับ คอป.” รวม 1.02 ชั่วโมง

สิ่งที่ผมนำเสนอจะเป็นประเด็นที่สำคัญ คือเรื่องของการตรวจสอบค้นหาความจริง ที่เราถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญในการนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ ปัจจุบันแต่ละคน แต่ละฝ่าย แต่ละกลุ่ม มีความจริงคนละชุด คอป.หวังว่าการทำงานอย่างหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยอาศัยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์และหลักวิชาการให้มากที่สุด คิดว่าจะสามารถนำเสนอภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงสาเหตุของเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 ให้กับรัฐบาล รัฐสภา สังคมและนานาชาติได้ อย่างน้อยน่าจะทำให้ทุกคนเข้าใจความจริงเหตุการณ์ดังกล่าวตรงกันไม่มากก็น้อย
วัตถุประสงค์ในการทำงาน คอป.ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจากคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมายังคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อจะหาว่า “ความจริง” เหตุการณ์รุนแรงในปี 2553 เกิดขึ้นอย่างไร เพราะเหตุใด มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง และเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะอะไร และจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกหรือไม่อย่างไร ซึ่งรายงานของเราจะเสนอต่อรัฐบาลและเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยหวังว่าจะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อความปรองดองของคนในชาติ
แน่นอนว่าการทำงานของ คอป.มีความแตกต่างจากพนักงานสอบสวน ที่มุ่งจะนำตัวผู้กระทบความผิดมาดำเนินคดี แต่ คอป.มุ่งจะค้นหาความจริง
ทั้งนี้ คอป.ได้ตั้งอนุกรรมการค้นหาความจริงฯและตั้งคณะทำงาน 5 ชุด ตรวจสอบเหตุการณ์ 10 กรณี นับแต่ไทยคม 10 เม.ย.2553 จนถึงวัดปทุมวนาราม 19 พ.ค.2553 การเผาห้างเซ็นทรัลเวิร์ลด์และสถานที่ต่างๆ ในต่างจังหวัด นอกจากนั้น คอป.ยังได้ศึกษาภาพรวมของเหตุการณ์ รวมทั้งภูมิหลัง เพราะตระหนักดีว่า การะจำเข้าใจความรุนแรงเราต้องเข้าใจภูมิหลังของเหตุการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองนับตั้งแต่ปี 2540
ในการทำงานจะมีเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจากองค์การระหว่างประเทศรวมถึงประเทศไทย เพื่อให้ได้ความจริงที่ใกล้เคียงที่สุด
หลักการทำงานและอุปสรรค ยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม คอป.ตรวจสอบว่าการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นไปโดยปราศจากอาวุธหรือไม่ และรัฐใช้กำลังเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ แต่ก็มีปัญหาเนื่องจาก คอป.ตั้งโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถเรียกคนมาให้ข้อมูล ต้องใช้การขอความร่วมมือ และขณะที่ คอป.กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำงานคดีของพนักงานสอบสวนก็ทำคู่ขนานกันไปด้วย ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ไม่ว่าพยาน ผู้เสียหาย ผู้ต้องหาหรือจำเลย มีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ในการให้ความร่วมมือกับ คอป. เพราะเกรงว่าอาจมีผลกระทบต่อรูปคดี
แต่ คอป.ก็พยายามฝ่าฟันและใช้จุดที่ดี คือสาธารณชนไว้วางใจ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง โดย คอป.ใช้วิธีตรวจสอบหลายวิธีผสมผสาน ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นหลัก ที่สำคัญมีการใช้ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์มาช่วยวิเคราะห์ โดย คอป.ถือหลักว่า แต่ละคน แต่ละฝ่าย อาจจะมีความจริงคนละชุด ทั้งจากความรับรู้ ทัศนะ มุมมอง มูลเหตุจูงใจ ผลประโยชน์ทางการเมืองและทางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น คอป.จึงเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายเสนอความจริงในทัศนะของตัวเอง ก่อนที่ คอป.จะนำมาจัดทำรายงานในภววิสัย
อย่างไรก็ตาม รายงานของ คอป.จะไม่ใช่รายงานฉบับสุดท้ายของเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.2553 เพราะยิ่งเหตุการณ์คลี่คลายความจริงจะยิ่งเปิดเผยออกมา จึงอย่าถือว่ารายงานของ คอป.เป็นความจริงที่สุด แต่ให้ถือว่าเป็นความจริงที่น่าเชื่อถือ ณ เวลานี้ ทั้งนี้การทำงานจะใช้คณะกรรมการจึงอย่าคิดว่ารายงานฉบับนี้เป็นความคิดเห็นของ อ.คณิต ณ นคร (ประธาน คอป.) หรือคุณสมชาย แต่เกิดจากการประชุมซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นร้อยครั้ง กระทั่งได้รายงานฉบับนี้มา
ข้อค้นพบ ต้องดูภูมิหลัง ความขัดแย้งหลังรัฐธรรมนูญปี 2540 บังคับใช้ โดยคู่ขัดแย้งพยายามหยิบยกปัญหาแบบตัดตอน โดยบางฝ่ายอาจจะพูดถึงการรัฐประหารปี 2549 โดยเฉพาะ บางฝ่ายอาจจะพูดถึงการปฏิบัติที่ไม่ชอบของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น แต่ คอป.พยายามทำความเข้าใจเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยย้อนหลับไปศึกษา และพบว่ามีปมปัญหาที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายในเวลานี้ จนกลายเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งของสังคมไทยเวลานี้ โดยพบอย่างน้อย 2 ปมปัญหา 1.การใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาลคุณทักษิณในบางเรื่อง เพราะมีการใช้อำนาจมิชอบมากมาย แต่การตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ กรณีซุกหุ้นก็อยู่ในรายงานของเรา 2.การรัฐประหารเมื่อปี 2549 โดยการสนับสนุนโดยกลุ่มการเมืองบางส่วนและประชาชนบางส่วน เพราะอาจมีผลประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีความอดทนเพียงพอให้ระบบประชาธิปไตยในการแก้ปัญหา
นอกจากนี้ เรายังพบว่าความรุนแรงในปี 2553 มีเหตุปัจจัยที่เกิดความขัดแย้งและไม่วางใจต่อกัน โดยเฉพาะระหว่างรัฐบาลกับ นปช.หรือฝ่ายที่สนับสนุน นปช.และคุณทักษิณ เนื่องจากการสลายการชุมนุม นปช.ในปี 2552 ทั้งเหตุการณ์พัทยา สงกรานต์เลือด เป็นปมปัญหาที่ทำให้เกิดความรุนแรงในปีต่อมา
ผลของการตรวจสอบ เราใช้วิธีตรวจสอบในแต่ละกรณี ผมขอสรุป เพราะมีรายละเอียดมากในรายงาน ขอเรียนว่ารายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่ง เรายังมีรายงานฉบับเต็มของการตรวจสอบโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีอีกหลายร้อยหน้า ที่ คอป.จะผลิตตามออกมา อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้ก็มีความละเอียดพอสมควรที่จะทำให้เราเข้าใจแต่ละเหตุการณ์รวมถึงภาพรวม
จากการตรวจสอบพบว่าความรุนแรงในปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 92 คน ตัวเลขนี้อาจต่างจากหน่วยงานอื่น โดยไม่รวมเหตุระเบิดที่เมตตาแมนชั่น รวมถึงกรณีอื่นๆ ใน 92 คน มีเจ้าหน้าที่ทหาร 8 คน ตำรวจเสียชีวิต 2 คน ที่เหลือ 82 คนเป็นพลเรือน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม นปช. บางคนเป็นผู้อาศัยละแวกนั้น รวมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ 2 คน ผู้ไม่เห็นด้วยกับ นปช. คือกลุ่มคนรักสีลม 1 คน ในนั้นเสียชีวิตจากคนชุดดำ 9 คน เป็นทหาร 6 คน ตำรวจ 2 คนและกลุ่มคนรักสีลม ประชาชนจำนวนมากเสียชีวิตจากกระสุนที่ยิงมาจากทางที่เจ้าหน้าที่อยู่
ทั้งนี้ ความรุนแรงเริ่มจากการบุกไปยังอาคารรัฐสภา ที่นำไปสู่การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ คอป.เริ่มตรวจสอบละเอียดจากเหตุการณ์ 9 เม.ย.2553 ที่สถานีไทยคม ซึ่งมีข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ได้นำอาวุธสงครามติดไปด้วย โดยเก็บไว้ในรถเสบียง และเก็บปืนกับกระสุนแยกจากกัน ซึ่งผู้ชุมนุมก็ยึดมาแสดงต่อสื่อ บางคนตั้งข้อสังเกตว่าการนำอาวุธสงคราม เป็นการตอกย้ำความรู้สึกประชาชนว่าเจ้าหน้าที่ทหารเตรียมนำอาวุธมาปราบประชาชน การปฎิบัติการผู้ชุมนุมบางคนต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่เผยแพร่ทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ได้ดูสะเทือนใจ เช่น การบังคับให้คุกเข่า แน่นอนความจริงอาจจะมีหลายด้าน เพราะเจ้าหน้าที่ทหารที่นำอาวุธติดตัวไปให้หลายๆเหตุผล เช่นต้องมีอาวุธประจำกาย หรือมีไว้ป้องกันเหตุสุดวิสัย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวช่วยกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงภายหลัง
เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความสูญเสียมากที่สุด ได้แก่เหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ ในวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นพลเรือน 20 คน มีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 5 คน ช่างภาพชาวญี่ปุ่น 1 คน มีผู้บาดเจ็บกว่า 800 คน โดยเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร 300 คน ที่สำคัญเราพบคนชุดดำที่ไม่ประกาศตัวแน่ชัด ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด แต่ให้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่ ทั้งระหว่างและหลังเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 จากการตรวจสอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พบว่ามีการใช้ระเบิดเอ็ม 79 รวมถึงปืนเล็กยาว (ปลย.) ยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่บนถนนตะนาวและถนนข้าวสาร ทำให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 คน ที่ถนนดินสอบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาต่อเนื่องอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็ถูกโจมตีจากคนชุดดำเช่นกัน ทั้งนี้ คอป.พบร่องรอยกระสุนที่มีวิถีการยิงมาจากที่ๆ เจ้าหน้าที่อยู่ นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยกระสุนที่ยิงกลับไป แม้จะไม่มากนัก โดยที่ถนนดินสอพบร่องรอยระเบิดเอ็ม 67 และเอ็ม 79 จากการตรวจสอบพบว่าระเบิดเอ็ม 67 น่าจะขว้างมาจากบ้านไม้โบราณตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา และระเบิด 2 ลูกนี้ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 4 นาย
มีการกล่าวในทางสื่อว่า พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เสียชีวิตด้วยกระสุนปืน แต่จากการชันสูตรพลิกศพ ไม่พบว่า พ.อ.ร่มเกล้าถูกยิงด้วยกระสุนปืน น่าเชื่อว่าเสียชีวิตด้วยระเบิดเอ็ม 67
ทั้งนี้ เราพบว่าการปฏิบัติการของชายชุดดำ ได้รับการคุ้มครองจากการ์ด นปช.บางคน
เราไม่พบพยานหลักฐานที่ส่อไปในทางว่า การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหารกับประชาชน เกิดจากการต่อสู้กันเองระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร แต่น่าเชื่อว่าเกิดจากการโจมตีด้วยชายชุดดำ แต่เราก็ไม่พบว่ามีประชาชนบาดเจ็บจากการกระทำของคนชุดดำ โดยพบว่าคนชุดดำบางคนเป็นคนใกล้ชิด พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง โดย พล.ต.ขัตติยะได้ไปปรากฎตัวใกล้เหตุการณ์
สำหรับบริเวณสี่แยกคอกวัวที่มีคนซุ่มยิงจากระเบียงของกองสลาก เราได้ร่วมตรวจสอบกับ สตช. โดยถ่ายภาพจำลองเหตุการณ์ เราพบว่าเป็นเงาของต้นปาล์ม ไม่ใช่พลซุ่มยิง และพบว่าทั้งคนชุดดำและเจ้าหน้าที่ทหาร ก็เข้าใจว่าเป็นพลซุ่มยิง และยิงไปตรงจุดนั้น เหตุที่พบว่ามีคนชุดดำยิงไป เพราะพบแกนกระสุนเหล็ก ซึ่งเป็นกระสุนของปืนอาก้า ที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ และพบวิถีกระสุนมาจากเจ้าหน้าที่เองด้วย ดังนั้น ตรงสี่แยกคอกวัวจึงไม่พบผู้ใช้อาวุธปืนยิงจากที่สูง
แต่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศและผู้ชุมนุมบางคน มีการพบเห็นว่ามีการยิงมาจากชั้นบนของโรงเรียนสตรีวิทยา และในคืนนั้นเองผู้ชุมนุมพยายามเข้าไปตรวจสอบ แต่ถูกตำรวจที่พักอยู่กับยามห้ามไม่ให้เข้าไป
เหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 คนพุ่งความสนใจไปยังเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัวและโรงเรียนสตรีวิทยา แต่จริงๆ เหตุการณ์รุนแรงเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยใกล้สะพานมัฆวานรังสรรค์มีผู้เสียชีวิต 1 รายด้วยกระสุนความเร็วสูง และหลังเหตุการณ์สงบมีพนักงานสวนสัตว์ดุสิต ถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย โดยจากการตรวจสอบพบว่า ในสวนสัตว์ดุสิตมีทหารหน่วยหนึ่งอาศัยอยู่ แต่ไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุใดจึงมีการยิงเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายบนสะพานปิ่นเกล้า ระหว่างที่ทหารกำลังเคลื่อนกำลังข้ามสะพานมา พบว่านายยศวริศ ชูกล่อม และนปช.จำนวนหนึ่งไปขัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ พร้อมยึดอาวุธจากทหารไป รวมทั้งมีการปรากฎตัวของ พล.ต.ขัตติยะ
ใน 10 เม.ย.2553 พบว่า ปืนลูกซอง 35 กระบอก ปืนทราโว 12 กระบอก พร้อมกระสุนจริง 700 นัด ถูกการ์ดนปช.ยึดไป ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ ปืนเอ็ม 16 อีก 9 กระบอก และปืนทราโว 13 กระบอกถูกยึดไป แต่ปัจจุบันได้คืนมาแค่ 13 กระบอกเท่านั้น โดยมีการนำปืนไปมอบให้บนเวที นปช.
เหตุการณ์ต่อไป 28 เม.ย.2553 บริเวณอนุสรณ์สถาน พบเจ้าหน้าที่ทหารที่เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหารด้วยกัน เพราะความเข้าใจผิด
เหตุการณ์ศาลาแดง มีหลายครั้ง มีการยิงอาวุธสงครามเข้าใจประชาชนและเจ้าหน้าที่บริเวณถนนสีลม หลายเวลา หลายครั้ง หลายวัน ทำให้ตำรวจเสียชีวิต 2 คน พลเรือนเสียชีวิต 1 คน โดยการยิงยิงจากพื้นที่ควบคุมของผู้ชุมนุมในสวนลุมพินี และรวมพระบรมรูปรัชกาลที่ 6
ที่คนให้ความสนใจคือการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะในวันที่ 13 พ.ค.2553 ที่ถูกยิงหน้าลิฟต์คนพิการรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีสีลม ฝั่งสวนลุมพินี จากการตรวจสอบเชื่อว่ายิงมาจากอาคารสูงที่อยู่โดยรอบด้านขวา ก็คือโรงแรมดุสิตธานี สีลมพลาซ่า หรือบางอาคารในโรงพยาบาลจุฬาฯ และช่วงนั้น ศอฉ.อนุญาตและจัดแล้ว ให้มีพลแม่นปืนและพลซุ่มยิงประจำอยู่ตามอาคารต่างๆ โดยรอบ มีข้อสังเกตว่านี่คือส่วนหนึ่งของปฏิบัติการปิดล้อมที่จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องสืบค้นกันต่อไป
ประเด็นสำคัญคือทันทีที่ พล.ต.ขัตติยะถูกยิง มีผู้สื่อข่าวต่างประเทศเห็นคนชุดดำวิ่งเข้าไปในเต๊นท์และหยิบ ปลย.ออกมา ก่อนยิงไปทางโรงพยาบาลจุฬาฯและโรงแรมดุสิตธานี เนื่องจากเข้าใจว่า พล.ต.ขัตติยะถูกยิงมาจากบริเวณดังกล่าว โดยเต๊นท์นั้นอยู่ในลานพระรูปรัชกาลที่ 6 ซึ่งอยู่ในความควบคุมของการ์ด นปช.
สถานการณ์ได้พัฒนามาอีกขึ้น หลังจากมีการปิดล้อม ช่วงเวลาตั้งแต่ 13-18 พ.ค.2553 โดยสรุปมีผู้เสียชีวิตในช่วงนั้นถึง 42 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม และมีชาวบ้าน อาสาพยาบาล ฯลฯ โดยพบว่ามีการปฏิบัติการของคนชุดดำในหลายพื้นที่ และมีกระสุนลูกกรด หรือแม็กนั่ม ที่อาจทำให้ผู้ชุมนุมบางรายเสียชีวิต ซึ่งกระสุนชนิดนี้ เจ้าหน้าที่ไม่มีใช้
หลังจากปิดล้อม เหตุการณ์ได้พัฒนาหรือยกระดับขึ้นมา ในวันที่ 19 พ.ค.2553 จะเรียกว่าเหตุการณ์สลายการชุมนุมก็ได้ แต่รัฐบาลและ ศอฉ.เรียกว่าการกระชับพื้นที่ แต่จุดมุ่งหมายคือให้ผู้ชุมนุมบางส่วนได้กลับภูมิลำเนา ด้วยการใช้เจ้าหน้าที่เข้าไปกดดัน โดยระหว่างนั้นมีผู้เสียชีวิต โดยรัฐบาลเข้าใจว่าเสียชีวิตแค่ 6 ศพ ที่วัดปทุมฯ ทั้งๆ ที่มีผู้เสียชีวิตบริเวณอื่น อีก 6 คน เป็นทหาร 1 คน จากระเบิดเอ็ม 79 โดยชายชุดดำ ยิงมาจากทางแยกราชประสงค์ รวมทั้งช่างภาพอิตาลี
เราไม่พบพยานหลักฐานว่ามีพลเรือนเสียชีวิตจากการปฏิบัติการของคนชุดดำ
เหตุการณ์วัดปทุมฯ ประเด็นที่อยากจะเรียนก็คือ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ทหารบนรางรถไฟฟ้าเล็งปืนและยิงไปยังหน้าวัดปทุมฯ ได้มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับคนชุดดำ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารพยายามเข้าไปดับเพลิงที่ไหม้อยู่ที่โรงหนักสยาม และมีการไล่ตามกันมา จนคนชุดดำมาถึงแยกเฉลิมเผา โดยพบร่องรอยมีการยิงตอบโต้กัน ระหว่างคนชุดดำที่อยู่ใต้สกายวอล์คและเจ้าหน้าที่ทหารบนรถไฟฟ้าสยาม โดยมีร่องรอยกระสุนทั้ง 2 ทาง และมีพยานหลักฐานที่พบว่า คนชุดดำได้วิ่งเลียบกำแพงวัดปทุมฯไป
ประเด็นหนึ่งที่สังคมสงสัยว่าในวัดปทุมฯเป็นที่ซ่องสุมของคนชุดดำหรือไม่ และมีการยิงจากรถไฟฟ้าโดยเจ้าหน้าที่เข้ามาในวัดหรือไม่ ซึ่งเราพบว่ามีรอยแตกบนรถไฟฟ้าสถานีสยาม แต่ไม่ทราบว่าเป็นรอยกระสุนหรือไม่ เพราะตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานไม่ตรวจสอบเพราะเป็นที่สูง แต่ก่อนหน้าวันที่ 19 พ.ค.2553 มีผู้พบการ์ด นปช.และพบคนถืออาวุธอยู่ในวัดปทุมฯ และจากการตรวจสอบมีผู้พบปืนเอ็ม 16 อยู่ในวัด ซึ่งเป็นปืนที่ผู้ชุมนุมยืดไปจากเจ้าหน้าที่ทหารเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2553 จากการที่ผู้ชุมนุมไปล้อมรถยนต์ของเจ้าหน้าที่และยืดปืนกระบอกนั้นไป
การเผาอาคาร ห้างเซ็นทรัลเวิร์ลด์และสถานที่ต่างๆ มีคำถามมาก และมีความซับซ้อนในการตรวจสอบ แต่ไฟได้ไหม้จากห้างเซนและลามไปที่ห้างเซ็นทรัลเวิร์ลด์ไม่ได้ไหม้ที่ห้างเซ็นทรัลเวิร์ลด์ตั้งแต่แรก และมีภาพถ่ายว่าเมื่อไฟเริ่มไหม้ ยังไม่ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารไปถึงบริเวณนั้นแล้ว แต่มีผู้ชุมนุมอยู่ในบริเวณดังกล่าวมาก หลังจากที่แกนนำนปช.ได้ประกาศมอบตัว
โดยสรุป เรื่องมีคนชุดดำหรือไม่ มีการปฎิบัติการของคนชุดดำจริงในเหตุการณ์ต่างๆ โดยใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่ ประกอบกับการก่อวินาศกรรม ทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุมหลายสิบจุด ซึ่งจุดถึงบัดนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ยกเว้นกรณีเดียวคือที่ยิงอาร์พีจีไปยังกระทรวงกลาโหม ปัญหาคือคนชุดดำที่โจมตีเจ้าหน้าที่ มีความเกี่ยวพันกับใคร เราพบว่าหลายคนในคนชุดดำมีความใกล้ชิดกับ เสธ.แดง คืออยู่ในกลุ่มเดียวกัน ไปไหนด้วยกัน แล้วพบว่าการปฏิบัติของคนชุดดำในบางเหตุการณ์ เช่น 10 เม.ย.2553 ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากการ์ด นปช. การปฏิบัติการของคนชุดดำถนนราชปรารภใกล้ประตูน้ำได้รับการรู้เห็นเป็นใจจากการ์ด นปช. แต่จะรู้จักกับแกนนำ นปช.หรือไม่ เราไม่มีพยานหลักฐานที่จะโยงไปถึงขนาดนั้น แต่การปฏิบัติการของคนชุดดำส่วนใหญ่ มาจากพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยนปช. เช่นสวนลุมพินี ลานพระรูปรัชกาล.6 ประตูน้ำ ส่วนจะมีจำนวนเท่าไร เป็นใคร เราได้ข่าวมาพอสมควร แต่คิดว่าเป็นเรื่องที่สรุปได้ยากมาก
การชุมนุมที่เราตั้งประเด็นว่าเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่ จากการชุมนุมที่ผ่านมา เราพบว่าผู้ชุมนุมบางคนใช้ความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ และการปราศรัยบนเวทีก็ส่งเสริมความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีการใช้สิ่งเทียมอาวุธก่อกวนและทำร้ายเจ้าหน้าที่ เราคิดว่าแกนนำ นปช.ยังไม่ใช่ความพยายามเพียงพอในการร่วมมือกันเจ้าหน้าที่ในการป้องกันหรือระงับความรุนแรงที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมได้ และได้เฉพาะตำรวจ ทหารเข้าไปไม่ได้เลย และการ์ด นปช.บางคนยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้คนชุดดำใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่
การใช้กำลังทหาร มีต้นเหตุมาจากปี 2552 ที่ใช้ตำรวจควบคุมฝูงชนไม่ได้ แต่ทหารก็ไม่เหมาะในการควบคุมฝุงชน ตั้งแต่เรื่องการฝึก ที่สำคัญมีการใช้อาวุธสงคราม เช่น รถสายพานลำเลียง ปลย. กระสุนจริง รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำประสบการณ์ผู้ชุมนุมจากเหตุการณ์ปี 2552
ศอฉ.ยังไม่มีกระบวนการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ นอกจากรับรายงานตามสายบังคับบัญชา ทำให้ไม่ทราบว่าคำสั่งให้ใช้อาวุธและกระสุนจริง จะส่งผลอย่างไรต่อผู้ชุมนุม เท่าที่ได้สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของศอฉ.พบว่าไม่มีการตรวจสอบ และหลายคนยังเข้าใจว่ายังใช้กระสุนปลอม กระสุนซ้อมรบอยู่ ทั้งๆที่มีการใช้กระสุนจริงจำนวนมาก โดยบางสถานการณ์มีการยิงกระสุนจริงไปยังทิศทางของผู้ชุมนุมอยู่
กฎการใช้กำลังมีอยู่ในรายงานของ คอป. ว่าการใช้อาวุธควรมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้จะมีคนถืออาวุธในที่ชุมนุม ก็ยังยิงไปไม่ได้ เพราะอาจทำให้เกิดความสูญเสียกับผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ โดยมีคำพิพากษาของศาลปี 2552 ว่าถ้าใช้อาวุธต่อคนที่ไม่ถืออาวุธ กองทัพต้องรับผิดชอบ โดยศาลได้ให้กองทัพชดใช้ต่อผู้เสียชีวิต 2 คน เรามีหลักฐานส่ามีการวางพลแม่นปืน (marksman) และพลซุ่มยิง (sniper) ในที่สูง แม้จะมีกฎหรือคำสั่งที่เข้มงวดในการใช้อาวุธ ขณะเดียวกัน เราไม่พบว่าคนชุดดำได้ยิงมาจากที่สูง ทั้งกรณีโรงเรียนสตรีวิทยา ตึกชิวาทัย ที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน
เราค้นพบว่ามีการเบิกลูกกระสุน ส่วนใหญ่เป็นกระสุนปืนลูกซอง แต่ไม่น้อยก็เป็นกระสุนจริง
ยืนยันว่าการตรวจสอบของ คอป.ไม่ได้มุ่งหวังให้เอาใครมาดำเนินคดี หรือกล่าวร้ายให้ใคร แต่ต้องการประมวลความจริงให้สังคมและคู่ขัดแย้งได้ทราบ และเราก็อยากให้ทุกคนมองไปข้ามหน้ามากกว่า โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นข้อเสนอแนะของ คอป.
