คอป.เตือนสติหยุดใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือการเมือง-เรียกร้องแก้ ม.112

หมายเหตุ- ในรายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กรกฎาคม ๒๕๕๓ – กรกฎาคม ๒๕๕๕ ส่วนที่ 5 ได้มีข้อเสนอแนะต่อฝ่ายต่างๆ เพื่อความปรองดอง
หนึ่งในข้อเสนอดังกล่าวคือ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะที่ผ่านมา มีการกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือแรงสนับสนุนจากมวลชนในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อประโยชน์ในการรักษาสถานภาพดังกล่าว
การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับประเด็นและความขัดแย้งในทางการเมืองทำให้ปัญหาทางการเมืองลุกลามบานปลาย จนเกิดความแตกแยกของประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และส่งผลให้คนบางส่วนเกิดการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระทำการจาบจ้วงหรือกระทบกระทั่งต่อสถาบัน ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ
ข้อเสนอของ คอป.เรียกร้องให้ นักการเมือง พรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองหารือกันอย่างจริงจังเพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการให้เกิดผลอันเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมือง โดยอาจกำหนดชัดเจนเป็นวาระแห่งชาติ และยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่น่าสนใจอย่างมาก
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยจนถึงปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดระแวง และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ (Power Shift) ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง ซึ่งไม่ต้องการสูญเสียอำนาจหรือผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ อันนำมาซึ่งความพยายามในการรักษาสถานภาพ (Status Quo) ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของตนเองหรือพวกพ้อง รวมทั้งมีการกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือแรงสนับสนุนจากมวลชนในการเคลื่อนไหวทางการเมือง
เพื่อประโยชน์ในการรักษาสถานภาพดังกล่าว การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับประเด็นและความขัดแย้งในทางการเมืองทำให้ปัญหาทางการเมืองลุกลามบานปลาย จนเกิดความแตกแยกของประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และส่งผลให้คนบางส่วนเกิดการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระทำการจาบจ้วงหรือกระทบกระทั่งต่อสถาบัน ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังปรากฏว่ามีการนำกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือในการกาจัดศัตรูทางการเมืองโดยโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่งผลให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเกิดความคับแค้นใจ และส่งผลร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คอป. จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
1.คอป. เห็นว่า ข้อเสนอแนะที่ผ่านมาของของ คอป. เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ยังไม่ได้รับการปฏิบัติตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักการเมือง พรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมือง ซึ่งยังคงพาดพิงหรือมีพฤติกรรมที่นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นทางการเมือง
คอป. ขอให้ทุกภาคส่วนตระหนักว่าการกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองจะยิ่งทำให้สถาบันตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ คอป. ขอเน้นย้าให้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคอป.ว่า “ในห้วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้ ทุกฝ่ายควรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะยกย่องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นสถาบันที่อยู่เหนือจากความขัดแย้งทางการเมือง” และทุกฝ่ายต้องงดเว้นการกล่าวอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
2.คอป. เรียกร้องให้นักการเมือง พรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง หารือกันอย่างจริงจังเพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการให้เกิดผลอันเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมือง โดยอาจกำหนดชัดเจนเป็นวาระแห่งชาติ
3. เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในสถานะที่สามารถดำรงพระเกียรติยศได้อย่างสูงสุดภายใต้รัฐธรรมนูญและสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำความเข้าใจร่วมกันของสังคมเกี่ยวกับสถานะและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และให้มีเวทีให้บุคคลที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์โดยสันติวิธี เพื่อแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการเทิดทูนให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมืองโดยสอดคล้องกับพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย
กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
4. การใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวคือ มาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ในทางการเมืองนั้น นอกจากจะไม่เป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลดความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในชาติด้วย
ที่ผ่านมาคอป. จึงได้เสนอแนะแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า“กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์” หรือ “กฎหมายหมิ่นสถาบัน” ให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาหรือนำไปปฏิบัติตาม คอป. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะของ คอป. ในประเด็นดังกล่าวไปปฏิบัติตามด้วย
เพราะจากการสังเกต คอป. พบว่าในความผิดที่บุคคลสาธารณะ (Public Figure) ตกเป็นผู้เสียหายนั้น ระบบกฎหมายของไทยยังไม่มี “ความผิดที่ต้องให้อำนาจ” (Authorization Delict) บุคคลในกระบวนการยุติธรรมจึงดูจะดำเนินคดีไปในทิศทางที่เกิดจากความกลัวหรือประจบประแจง
5.คอป. เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญามีการระวางโทษในอัตราที่สูงไม่ได้สัดส่วนกับความผิด จำกัดดุลพินิจของศาลในการกำหนดโทษที่เหมาะสม ไม่มีความชัดเจนในขอบเขตที่เข้าข่ายตามกฎหมาย และยังเปิดโอกาสให้บุคคลใดๆ สามารถกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีได้ ทำให้กฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือกำจัดศัตรูในทางการเมือง
คอป. จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและรัฐสภาจักร่วมกันแสดงความกล้าหาญในทางการเมือง เพื่อขจัดเงื่อนไขของปัญหาจากกฎหมายดังกล่าวด้วยการแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยศึกษานโยบายทางอาญาของประเทศต่างๆ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาปรับใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาแก้ไขกฎหมาย
ทั้งนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในสังคมไทยการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวของรัฐบาลและรัฐสภาจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงว่าจะไม่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมีกระบวนการที่เปิดให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง เพื่อแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
6.ในระหว่างที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ คอป. ขอเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการกำกับการใช้อำนาจรัฐและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมพึงระมัดระวังในการนำเอากฎหมายหมิ่นสถาบันมาใช้ในเวลาที่มีความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้ โดยดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อผู้ที่จาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยเจตนาร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่สักการะและหวงแหนของปวงชนชาวไทย แต่ไม่ควรนำมาตรการในทางอาญามาใช้อย่างเคร่งครัดจนเกินสมควรโดยขาดทิศทางและไม่คานึงถึงความละเอียดอ่อนของคดี
นอกจากนี้ ยังต้องหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันให้กว้างขวางหรือครอบคลุมลักษณะการกระทำที่นอกเหนือไปจากที่กฎหมายบัญญัติไว้เนื่องจากจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครอง เช่น การแสดงความคิดเห็นอย่างสุจริต การวิพากษ์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ตามครรลองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
7.คอป. พบว่าการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ และการดำเนินงานยังไม่สอดคล้องหรือเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คอป. จึงเห็นว่า รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันมีความเป็นเอกภาพ และดำเนินงานร่วมกันอย่างบูรณาการโดยกำหนดให้มีกลไกหรือองค์กรในการกำหนดนโยบายทางอาญาที่เหมาะสม สามารถจำแนกลักษณะคดีและกลั่นกรองคดีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบัน โดยพิจารณาจากความหนักเบาของพฤติกรรม เจตนา แรงจูงใจในการกระทำ สถานภาพของบุคคลที่กระทำบริบทโดยรวมของสถานการณ์ที่นำไปสู่การกระทำ รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำและการดำเนินคดี โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นจากการถวายพระเกียรติยศสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสาคัญ
8.รัฐบาลต้องส่งเสริมการใช้ดุลพินิจของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกัน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ คอป. เน้นย้าถึงความสำคัญของอัยการในการใช้ดุลพินิจสั่งคดีดังที่ คอป. เคยได้เสนอแนะไปแล้วว่า "อัยการซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการใช้ดุลพินิจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ ควรให้ความสำคัญกับแนวทางการสั่งคดีโดยใช้ดุลพินิจ (Opportunity Principle) ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการอันเป็นสากล แม้ว่าคดีมีหลักฐานเพียงพอในการสั่งฟ้อง แต่อัยการต้องให้ความสาคัญกับการชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลดีผลเสียในการดาเนินคดีด้วย...อันเป็นแนวทางที่ใช้อยู่ในประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น"
