ความตายของ "พัน คำกอง" และผู้เสียชีวิตรายอื่นๆ ในรายงาน คอป.
ในขณะที่ นปช.และพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจ “รายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป.” ซึ่งมีความหนา 276 หน้า (ไม่รวมภาคผนวก) เพราะมีการระบุถึงตัวตน “ชายชุดดำ” ไว้หลายจุด รวมถึงในหัวข้อที่ 2.4 “พฤติการณ์ของคนชุดดำที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธสงคราม โดยปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ชุมนุม” (หน้าที่ 157-160)
เนื้อหาที่น่าสนใจ แต่กลับถูกละเลย ไม่มีการพูดถึงเท่าที่ควร ได้แก่ หัวข้อที่ 2.6 ”การใช้กำลังและอาวุธในการควบคุมฝูงชนและการสลายการชุมนุม” ที่อยู่ระหว่างหน้าที่ 174-192
เพราะมีการระบุถึงการเสียชีวิตของ "นายพัน คำกอง" แท๊กซี่เสื้อแดงที่ศาลเพิ่งมีคำสั่งไต่สวนการตายไปเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา รวมถึงการเสียชีวิตระหว่างการชุมนุมของ นปช.รายอื่นๆ
(อ่าน รายงานคอป. ฉบับสมบูรณ์ (กรกฎาคม 2553 – กรกฎาคม 2555) จากสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org)
โดย คอป.เรียกปฏิบัติการทางทหารที่สั่งการโดย ศอฉ.ว่า “สลายการชุมนุม” อย่างชัดเจน พร้อมระบุว่า มีการใช้ “กระสุนจริง” ยิ่งในแนวราบ “ไปยังผู้ชุมนุม” รวมถึงมีการส่ง “พลซุ่มยิง” หรือสไนเปอร์ ออกมาปฏิบัติการ
2.6.7 การปฏิบัติการ การใช้กำลังและอาวุธของเจ้าหน้าที่
2.6.7.1 การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 โดยในช่วงแรกของเหตุการณ์ระหว่างการชุมนุมในช่วงเดือนมีนาคมจนกระทั่งก่อนเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 เมื่อมีการเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุมในบางเหตุการณ์พบว่าเจ้าหน้าที่ตัดสินใจถอนกำลังออกจากที่ตั้งโดยไม่มีการปะทะ เช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2553 ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปกดดันเจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่ทหารตามจุดวางกำลังต่างๆ ใกล้ที่ชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน และเหตุการณ์บริเวณถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2553 ส่วนในเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังในการเข้าควบคุมฝูงชนในเหตุการณ์วันที่ 9 เมษายน 2553 เมื่อผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปที่สถานีดาวเทียมไทยคมเพื่อเรียกร้องให้นาสัญญาณพีเพิลแชนแนลกลับขึ้นออกอากาศและพยายามบุกเข้าไปในบริเวณสถานีฯ จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งใช้การฉีดน้า โล่ กระบอง แก๊สน้ำตา ปืนลูกซองกระสุนยาง ขณะที่ผู้ชุมนุมใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น ไม้ เหล็กแหลม ก้อนหิน และระเบิดเพลิง ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารได้นำอาวุธปืนสงครามพร้อมกระสุนจริงไปด้วยโดยเก็บไว้ในรถแยกระหว่างปืนเเละกระสุน แต่
เจ้าหน้าที่ทหารชี้เเจงว่าได้รับคำสั่งจาก ศอฉ. ห้ามไม่ให้ใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุมโดยเด็ดขาด ส่วนอาวุธที่นำไปนั้นเป็นการนำไปเผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยอาวุธดังกล่าวถูกผู้ชุมนุมยึดและนาแสดงต่อสื่อมวลชนก่อนจะคืนอาวุธทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในวันเดียวกัน ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ทหารถอนกำลังออกจากพื้นที่ จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่หลายคนพบว่าภาพเหตุการณ์ดังกล่าวที่ผู้ชุมนุมบางคนรุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารและปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ในลักษณะที่เป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรีซึ่งเผยแพร่ในสื่อทั่วไปก่อให้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจในหมู่ทหาร
2.6.7.2 เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 (รายละเอียดปรากฏตามรายงานข้อค้นพบเฉพาะกรณี)
1) ในช่วงบ่ายเมื่อผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนเข้ามาปิดล้อมหน้ากองทัพภาคที่ 1 จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งออกมาผลักดันเพื่อให้ผู้ชุมนุมกลับไปที่สะพานผ่านฟ้า โดยช่วงเเรกเจ้าหน้าที่ทหารใช้แก๊สน้าตาและปืนลูกซองกระสุนยาง ต่อมา พบเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนลูกซองยิงไปทางผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ทหารหลายคนใช้ ปลย. กระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า ช่วงเวลาดังกล่าวไม่พบว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธหรือมีบุคคลอื่นซึ่งมีอาวุธปะปนอยู่
2) บริเวณถนนตะนาว –สี่แยกคอกวัว เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมโล่และกระบองตั้งแถวผลักดันผู้ชุมนุมมาตามถนนตะนาวถึงบริเวณสี่แยกคอกวัวและวางกำลังอยู่บนถนนข้าวสารและถนนตะนาวเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณสี่แยกคอกวัว และบนถนนดินสอ เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมรถสายพานลำเลียงหุ้มเกราะ เคลื่อนกำลังมาถึงบริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุมซึ่งอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ฯ โดยในการเคลื่อนกำลังผลักดันผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ทหารแถวหน้ามีโล่ กระบอง ปืนลูกซอง ทหารแถวหลังมี ปลย. บนถนนตะนาวมีการปะทะกับผู้ชุมนุมซึ่งใช้สิ่งเทียมอาวุธและระเบิดเพลิง มีเจ้าหน้าที่บางคนถูกทาร้ายด้วยอาวุธมีดและปืนพก ระหว่างนั้น มีเฮลิคอปเตอร์สองลำบินวนอยู่เหนือผู้ชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินและสะพานผ่านฟ้า และทิ้งแก๊สน้ำตาลงมายังกลุ่มผู้ชุมนุม เเละอีกลำหนึ่งโปรยใบปลิวประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารกำลังจะยึดพื้นที่
3) เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารถูกโจมตีด้วยระเบิดและปรากฏชายชุดดำอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมบริเวณสี่แยกคอกวัวยิง ปลย. ไปในทิศทางที่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอยู่ จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุโดยกองพิสูจน์หลักฐานกลาง พบร่องรอยระเบิดเอ็ม 79 มีทิศทางการยิงมาจากสี่แยกคอกวัว และร่องรอยกระสุนจำนวนหนึ่งมีทิศทางการยิงจากสี่แยกคอกวัวไปยังถนนข้าวสารและถนนถนนตะนาวซึ่งมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอยู่ พบร่องรอยกระสุนจำนวนมากมีทิศทางการยิงจากถนนข้าวสารและถนนตะนาวด้านวงเวียนวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติการอยู่ไปยังสี่แยกคอกวัวซึ่งมีผู้ชุมนุมและคนชุดดำปรากฏตัวอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุม โดยมีระดับการยิงทั้งในแนวเฉียงขึ้นและแนวระนาบ ต่อมา ศอฉ. มีคำสั่งที่ กห 0704.45/59 ลงวันที่ 10 เมษายน 2553 ระบุว่าจากกรณีคนร้ายใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่เเละประชาชนผู้บริสุทธิ์ . . . จึงให้กำลังของทุกหน่วยรักษาเเนว ณ ที่มั่นปัจจุบัน ตั้งเเต่ 10 เมษายน 2553 เวลา 20.30 น. เเละพิจารณาใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนตามขั้นตอน รวมทั้งใช้อาวุธเฉพาะในกรณีที่จาเป็น เพื่อป้องกันตนเองเเละประชาชนผู้บริสุทธิ์” [358]
4) เวลาประมาณ 20.40 น. บริเวณถนนดินสอ เกิดการกระทบกระทั่งกัน โดยผู้ชุมนุมได้ขว้างปาแก๊สน้ำตาและสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ส่วนเจ้าหน้าที่ใช้โล่ กระบอง ปืนลูกซอง และใช้ ปลย. ยิงขึ้นฟ้าและยิงไปที่ปีกของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมามีระเบิดลูกแรกตกใส่กลุ่มทหารระดับผู้บังคับบัญชาที่กำลังประชุมเพื่อถอนกำลังกันอยู่เมื่อเวลา 20.44.57 น. และลูกที่ระเบิดตรงจุดที่ใกล้กันในเวลา 20.45.31 น. ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 คน เจ้าหน้าที่ทหารส่วนใหญ่จึงต้องถอนกำลังและนำเจ้าหน้าที่ทหารที่บาดเจ็บถอยไปทางสะพานวันชาติ ระหว่างนั้นจากการตรวจสอบภาพวีดิโอและจากปากคำพยานซึ่งเป็นผู้ชุมนุมและผู้สื่อข่าวต่างประเทศ พบเจ้าหน้าที่ทหารบางคนบนถนนดินสอด้านสะพานวันชาติ ใช้ ปลย. ยิงมาทางด้านวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งมีผู้ชุมนุมอยู่ สอดคล้องกับผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐานกลางและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พบร่องรอยกระสุนที่ยิงมาในลักษณะดังกล่าวเฉพาะบนถนนดินสอทั้งหมด 120 รอย ยืนยันได้ว่าเป็นรอยจากกระสุนปืนทั้งสิ้น 114 รอย โดย 42 รอยอยู่ในระดับต่ำกว่า 170 ซม. แต่ไม่พบร่องรอยกระสุนที่ยิงไปในทิศทางกลับกันแต่อย่างใด ทั้งนี้ ศอฉ. ชี้แจงภาพดังกล่าวว่าเป็นการยิงคุ้มครองเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นขณะถอนกำลัง
5) จากข้อเท็จจริงข้างต้นพบว่าเจ้าหน้าที่ทหารนาอาวุธปืนสงครามและกระสุนจริงไปปฏิบัติหน้าที่ด้วย และหลังเหตุการณ์ระเบิด เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธดังกล่าวยิงมาในทิศทางที่มีผู้ชุมนุมอยู่ สอดคล้องกับร่องรอยกระสุนปืนจานวนมากที่ยิงมาจากทิศทางที่เจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติการอยู่ดังที่ได้กล่าวมากแล้ว และผู้ชุมนุมยังพบปลอกกระสุนขนาด 5.56 x 56 มม. ซึ่งใช้กับปืนเอ็ม 16 หรือทราโวในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบปลอกกระสุนขนาด .45 (11 มม.) ของปืนพก และปลอกกระสุนขนาด 7.62 x .51 มม. (NATO) ซึ่งใช้กับอาวุธปืน Sniper Rifle SR-25 [359]
2.6.7.3 ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการปิดล้อมพื้นที่ระหว่างวันที่ 13-18 พฤษภาคม 2553 (รายละเอียดปรากฏตามรายงานข้อค้นพบเฉพาะกรณี)
1) ก่อนการสลายการชุมนุมไม่นาน มีความพยายามเจรจาระหว่างรัฐบาลเเละเเกนนำ นปช. เพื่อยุติการชุมนุม โดยให้มีการยุบสภาเเละเลือกตั้งใหม่ เเต่การเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจาก ไม่สามารถตกลงระยะเวลาที่รัฐบาลจะกำหนดให้มีการยุบสภาเเละเลือกตั้งได้ (รายละเอียดปรากฏตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจรจา) ระหว่างนั้นมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ทหารในบริเวณรอบนอกพื้นที่การชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ รวมทั้ง บนพื้นที่สูงข่มรอบราชประสงค์ ทั้งยังมีคำสั่ง ศอฉ. ให้หน่วยปฏิบัติการเตรียมพลเเม่นปืน เเละ ศอฉ. จัดพลซุ่มยิงสำหรับกรณีพบผู้ก่อเหตุด้วย รายละเอียดปรากฏตามที่ได้กล่าวแล้วในข้อ 5.4 ต่อมา ศอฉ. ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่วางกำลังเพิ่มเติมเพื่อปิดล้อมพื้นที่ชุมนุมของ นปช. ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 และมีคำสั่งให้ตัดสาธารภนูปโภคและขนส่งสาธารณะทุกชนิดตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป เป็นมาตรการสกัดกั้นการเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมและเพื่อกดดันให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม ขณะเดียวกันตลอด ช่วงเวลาของการปิดล้อมพื้นที่ตั้งแต่คืนวันที่ 13 ถึง 18 พฤษภาคม 2553 มีการชุมนุมย่อยในพื้นที่ต่างๆ นอกแนวปิดล้อมของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตามแนวถนนพระราม 4 บริเวณชุมชนบ่อนไก่ ถนนวิทยุ และตามแนวถนนราชปรารภถึงสามเหลี่ยมดินแดงและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
2) ระหว่างการเข้าควบคุมพื้นที่และตลอดช่วงการปิดล้อมพื้นที่พบว่า เจ้าหน้าที่ทหารใช้ปืนลูกซองกระสุนยางและกระสุนจริงและ ปลย. กระสุนจริงในการปฏิบัติหน้าที่ โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณถนนพระราม 4 ใช้โล่และกระบองด้วย โดย ศอฉ. มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่วางแนวกำลังห่างจากผู้ชุมนุมประมาณ 150 เมตร [360] และมีการติดป้ายเขตกระสุนจริงในวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 โดย ศอฉ. ชี้แจงว่าไม่ได้มีคำสั่งดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอง เพื่อเตือนไม่ให้ผู้ชุมนุมและประชาชนเข้ามา ขณะเดียวกันตลอดช่วงเวลาของการปิดล้อมพื้นที่ ผู้ชุมนุมพยายามที่จะทำลายการปิดล้อมและก่อกวนเจ้าหน้าที่โดยใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น บั้งไฟ ประทัดยักษ์ หนังสติ๊ก และอาวุธประดิษฐ์ เช่น ระเบิดท่อพีวีซีข้างในบรรจุเศษวัสดุแหลมคม ระเบิดปิงปอง ระเบิดเพลิง บางคนใช้ปืนพกสั้นตอบโต้เจ้าหน้าที่ และผู้ชุมนุมยังสร้างสร้างแนวกำบังจากยางรถยนต์และจุดไฟเผาเพื่อให้มีควันปกคลุมอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังปรากฏปฏิบัติการของกลุ่มคนชุดดำซึ่งใช้อาวุธปืนสงครามและระเบิดโจมตีเจ้าหน้าที่
3) ระหว่างการเข้าควบคุมพื้นที่บนถนนวิทยุในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 มีการใช้ ปลย. กระสุนจริงยิงเข้าไปในสวนลุมพินีและยิงไปทางแยกสารสินซึ่งมีผู้ชุมนุมอยู่ โดยปรากฏว่ามีผู้ถูกยิงได้บาดเจ็บบริเวณถนนวิทยุ เช่นเดียวกันกับบริเวณถนนพระราม 4 –บ่อนไก่ โดยระหว่างการเข้าควบคุมและการปิดล้อมพื้นที่ เจ้าหน้าที่ใช้ปืนลูกซองและ ปลย. กระสุนจริง บางคนใช้ปืนติดลากล้อง โดยติดป้ายเขตกระสุนจริง ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เพื่อเตือนไม่ให้ผู้ชุมนุมและประชาชนเข้ามาในเขตดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการวางกำลังพลแม่นปืนบนชั้นสองของอาคารหน้าสนามมวยลุมพินี เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนลูกซองและ ปลย. ทั้งยิงขึ้นฟ้า ยิงแนวต่ำ และยิงไปในแนวระนาบในทิศทางที่มีผู้ชุมนุมอยู่ [361] จากการตรวจสอบโดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และกองพิสูจน์หลักฐานกลาง พบรอยกระสุนจานวนมากบนถนนพระราม 4 - บ่อนไก่ ถึงใต้ทางด่วนพระราม 4 โดยมีทิศทางการยิงมาจากถนนพระราม 4 ด้านสะพานไทย-เบลเยี่ยม [362] จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายของสานักข่าวต่างประเทศ ถ่ายที่บริเวณถนนพระราม 4 –บ่อนไก่ โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระนิติวิทยาศาสตร์ด้านอาวุธและกระสุนปืนจากต่างประเทศระบุว่าเป็นภาพที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ ปลย. กระสุนจริง
4) การปิดล้อมพื้นที่บนถนนราชปรารภ เจ้าหน้าที่ทหารวางกำลังอยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้ง ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2553 โดยมีปืนลูกซองกระสุนจริง/กระสุนยางและ ปลย. กระสุนจริง มีการยิงปืนเอ็ม 79 จานวนมากที่ถนนราชปรารภบริเวณประตูน้าถึงแยกมักกะสัน ส่วนใหญ่ยิงในเวลากลางคืนขณะเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในที่กาบัง เหตุการณ์วันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 24.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งวางกำลังอยู่ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้ง ยิงเข้าใส่รถตู้ซึ่งวิ่งมาจากซอยแห่งหนึ่งข้างโรงแรมอินทรามุ่งหน้ามาทางที่ด่านทหารใต้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ หลังจากเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณให้หยุดแต่ไม่ยอมหยุด [363] ในเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุเสียชีวิต 2 คน คือ นายพัน คำกอง และเด็กชายคุณากร ศรีสุวรรณ ส่วนผู้ขับรถได้รับบาดเจ็บสาหัส ผลการชันสูตรศพ นายพัน คำกอง พบเศษกระสุนเป็นกระสุนปืนขนาด 5.56 มม. [364] ผลการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกระสุนของกลางไม่สามารถระบุได้ว่า ยิงมาจากปืนที่เจ้าหน้าที่ทหารส่งมอบให้ตรวจ [365]
5) ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 13.50 ของวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ทหารที่มาเสริมกำลัง เคลื่อนกำลังมาจากกองพันทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ถนนวิภาวดีรังสิต ถึงสามเหลี่ยมดินแดง เเละวางกำลังบริเวณสถานีบริการน้ำมัน เอสโซ่ บริเวณปากซอยรางน้ำ และวางกำลังอยู่จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 พบว่า เจ้าหน้าที่ทหารมีอาวุธปืนลูกซองกระสุนยาง/กระสุนจริง และ ปลย. กระสุนจริง ระหว่างการเคลื่อนกำลังบนถนนราชปรารภมีการเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุม จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุบนถนนราชปรารภโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระนิติวิทยาศาสตร์ด้านอาวุธและกระสุนปืนจากต่างประเทศ พบรอยกระสุนจำนวนมากบนพื้นผิวคอนกรีตและโลหะ เช่น ตามประตูร้านค้า เสาไฟฟ้า ป้ายสถานที่ สะพานลอย กำแพงคอนกรีต ตู้ชุมสายโทรศัพท์ ส่วนใหญ่มีทิศทางการยิงมาจากแยกซอยรางน้ำมุ่งหน้าสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งเป็นทิศทางจากจุดที่เจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติการอยู่ และมีรอยกระสุนบางรอยที่ยิงมาจากทิศทางตรงกันข้าม จากสามเหลี่ยมดินแดงมุ่งหน้าซอยรางน้ำ สอดคล้องกับผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์บนถนนราชปรารภพบรอยกระสุนจานวนมากเชื่อว่าเกิดจากกระสุนชนิด 5.56 มม. (.223) มีทิศทางการยิงจากซอยรางน้ำมุ่งหน้าสามเหลี่ยมดินแดง บางรอยมีทิศทางการยิงจากสามเหลี่ยมดินแดงมุ่งหน้าซอยรางน้า [366] พบกรณีการเสียชีวิตหลายรายบนถนนราชปรารภระหว่างสถานีบริการน้ำมัน เอสโซ่ ซอยรางน้า ถึง บริเวณหน้าบริษัทวิริยะประกันภัย จากัด (ก่อนถึงแยกสามเหลี่ยมดินแดง) เช่น นายกิตติพันธ์ ขันทอง นายบุญทิ้ง ปานศิลา นายสมาพันธ์ ศรีเทพ นายอาพลชื่นสี นายชาญณรงค์ พลศรีลา และนายอุทัย อรอินทร์ (รายละเอียดปรากฏตามรายงานข้อค้นพบเฉพาะกรณี)
6) ระหว่างการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหาร พบการต่อต้านจากการปฏิบัติการของคนชุดดาที่ยิงระเบิดเอ็ม 79 หลายลูก ระเบิดอาร์พีจี บริเวณแอร์พอร์ตลิงค์ เเละมีปากคำของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า วันที่ 15 พฤษภาคม 2553 มีการยิงปืนลงมาจากอาคารชีวาทัยใส่ผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยกู้ชีพที่อยู่บนถนนราชปรารภ [367] อย่างไรก็ตามไม่สามารถตรวจสอบได้แน่ชัดว่าเป็นกลุ่มติดอาวุธฝ่ายใด
2.6.7.4 ปฏิบัติการสลายการชุมนุมบริเวณสวนลุมพินีและถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
1) เจ้าหน้าที่ทหารตั้งด่านปิดล้อมพื้นที่ โดยยังคงปิดกั้นเส้นทางห้ามบุคคลเข้าไปบริเวณพื้นที่แยกราชประสงค์โดยเด็ดขาด แต่สามารถให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ได้ และเริ่มปรับกำลังเตรียมพร้อมในเวลา 03.00 น. เพื่อดำเนินการตามมาตรการกระชับวงล้อมเพื่อสลายการชุมนุม ตั้งแต่เวลา 6.00 น. โดยกองกำลังตำรวจเริ่มปิดการจราจรบนถนนพระราม 4 ถนนวิทยุ ถนนอังรีดูนังต์ และกองกำลังทหารเริ่มเข้าควบคุมพื้นที่สวนลุมพินีและพื้นที่โดยรอบ โดยเคลื่อนกำลังจากแยกสะพานไทย-เบลเยี่ยมไปตามแนวถนนวิทยุ จากหน้าอาคารอื้อจือเหลียงเข้าไปในสวนลุมพินี และจากแยกศาลาแดงเข้าทาลายแนวกั้นของผู้ชุมนุมบริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 การปฏิบัติการดังกล่าวได้มีการวางกำลังบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ด้านลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 บนสะพานไทย –ญี่ปุ่น และสะพานไทย –เบลเยี่ยมด้วย จนกระทั่งหลังจากที่เแกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุม ศอฉ. จึงมีคำสั่งให้หยุดการปฏิบัติเมื่อเวลา 13.20 น. [368]
2) พบว่ามีการวางระเบิดแสวงเครื่องไว้ตามแนวกีดขวางต่างๆ ของผู้ชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ทหารใช้รถสายพานหุ้มเกราะ ปืนลูกซองและ ปลย. กระสุนจริงในการปฏิบัติหน้าที่ มีการต่อต้านจากกลุ่มผู้ชุมนุมโดยใช้สิ่งเทียมอาวุธ และมีการปะทะกับคนชุดดำซึ่งใช้อาวุธ ปลย. และระเบิดโจมตีเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ทหารตอบโต้ด้วยการยิงปืนลูกซองและ ปลย. กระสุนจริงไปตามถนนราชดาริในทิศทางสี่แยกราชประสงค์ซึ่งมีผู้ชุมนุมและชายชุดดำอยู่ และจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนจานวนมากบนตอม่อรางรถไฟฟ้าและสองข้างทาง โดยมีทิศทางการยิงตอบโต้กัน ร่องรอยกระสุนส่วนใหญ่มีทิศทางการยิงไปทางสี่แยกราชประสงค์ เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้ชุมนุมและผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากกระสุนปืน ในจำนวนนี้รวมถึงช่างภาพชาวอิตาลี 1 คนซึ่งเสียชีวิตจากกระสุนปืน (รายละเอียดปรากฏตามรายงานข้อค้นพบเฉพาะกรณี)
3) เวลาประมาณ 10.50 น เชื่อว่ามีคนชุดดายิงปืนสงครามเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติการอยู่ในสวนลุมพินีและเจ้าหน้าที่ทหารได้ปะทะกับกองกำลังคนชุดดาในสวนลุมพินีเป็นเวลานานประมาณ 30 นาที [369] และเวลาประมาณ 13.30 น. คนชุดดายิง ปลย. และระเบิดเอ็ม 79 หลายลูกเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเคลื่อนมาจากศาลาแดงและหยุดอยู่ที่ริมสวนลุมพินีตรงแยกราชดำริ-สารสิน เพื่อเข้าไปตรวจค้นอาคารบางกอกเคเบิล เป็นผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกหลายรายทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและนักข่าวต่างประเทศชาวแคนาดา 1 คน โดยมีทิศทางการยิงมาจากถนนราชดำริเลยแยกราชดำริ-ถนนสารสินไปทางสี่แยกราชประสงค์ซี่งเป็นพื้นที่ของผู้ชุมนุม
4) บริเวณถนนพระรามที่ 1 ด้านเพลินจิต เวลา 15.30 น. ศอฉ. [370] มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ประจาอยู่แยกเพลินจิต เคลื่อนกำลังไปแยกราชประสงค์ ถึงแยกราชประสงค์เวลาประมาณ 17.00 น. [371] และอีกไม่นานก็ได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังกลับไปที่แยกเพลินจิตเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย สาหรับหน่วยทหารที่ประจาอยู่บนถนนราชปรารภใต้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ไม่ได้มีการเคลื่อนกำลังเข้ามาที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
2.6.7.5 ปฏิบัติการบริเวณถนนพระราม 1 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และเหตุการณ์บริเวณวัดปทุมวนาราม (รายละเอียดปรากฏตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเฉพาะกรณี)
1) วัดปทุมวนารามได้รับการประกาศเป็นเขตอภัยทานตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2553 จุดประสงค์หลักคือเพื่อใช้เป็นสถานที่พักและให้ความปลอดภัยแก่ผู้ชุมนุมที่เป็นเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ โดยผู้ชุมนุมบางส่วนได้เข้าไปใช้พื้นที่ภายในวัดปทุมวนารามก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 [372] ในเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. บริเวณถนนพระราม 1 ศอฉ. มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนเพื่อไปช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิง เพื่อคุ้มครองหน่วยดับเพลิงซึ่งเพลิงกำลังไหม้อยู่ที่โรงหนังสยาม แต่ถูกต่อต้านด้วยอาวุธโดยคนชุดดำ จึงล่าถอยกลับไป และกลับเข้ามาใหม่ประมาณ 17.30 น. เคลื่อนกำลังมาถึงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม และวางกำลังทหารชุดระวังป้องกันอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส และบนชานชาลาชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม [373] พบว่าเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. มีเจ้าหน้าที่ทหาร 7 คน วางกำลังอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 1 ด้านหน้าวัดปทุมวนาราม และบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม 5 คน ทุกนายถืออาวุธปืนเอ็ม 16 กระสุนจริง พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารเล็งและยิงลงไปในทิศทางวัดปทุมวนาราม บนรางรถไฟฟ้าชั้น 1 และบริเวณเดียวกันพบปลอกกระสุนปืนขนาด. 5.56 (.223) จานวน 2 ปลอกยิงมาจากปืนกระบอกเดียวกันและพบกระสุนชนิดเดียวกันอีกหนึ่งนัด [374] ทั้งยังพบรอยกระสุนจำนวนมากบนพื้นถนนบริเวณประตูทางออก ประตูทางเข้า เสากั้น (รั้ว) ริมถนนพระราม 1 และด้านนอกของกาแพงวัดปทุมวนาราม โดยมีทิศทางการยิงมาจากรางรถไฟฟ้าด้านหน้าวัดปทุมวนาราม และรอยกระสุนบนผนังด้านหลังศาลาสินธุเสก โดยมีทิศทางการยิงมาจากบริเวณสะพานลอยตรงแยกเฉลิมเผ่า [375] ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติการอยู่ โดยมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บบริเวณวัดปทุมวนาราม นอกจากนี้ ยังพบกระจกอาคารภายในวัด และรถที่จอดภายในวัดได้รับความเสียหายจากกระสุนปืน โดยเหตุการณ์บริเวณวัดปทุมวนารามมีผู้เสียชีวิต 6 คน โดยถูกยิงบริเวณหน้าประตูทางออกวัดปทุมวนาราม 1 คน คือ นายอัฐชัย ชุมจันทร์ ที่เหลือถูกยิงภายในวัดปทุมวนาราม 5 คน
2) เจ้าหน้าที่ทหารให้ข้อเท็จจริงว่ามีการยิงตอบโต้กันกับคนชุดดำ โดยมีผู้พบเห็นคนชุดดำบริเวณบริเวณแยกเฉลิมเผ่า ซึ่งพบร่องรอยกระสุนบริเวณดังกล่าว โดยมีทิศทางการยิงมาจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยาม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่ และพบร่องรอยกระสุนปืนที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม ชั้น 1 จานวน 8 รอย โดยมีทิศทางการยิงมาจากหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติบริเวณแยกเฉลิมเผ่า [376] แสดงว่ามีการยิงตอบโต้กันจริง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังแจ้งว่าในตอนเช้ามืดของวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 ได้ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุพบรอยเลือดของบุคคล 2 คน บริเวณแยกเฉลิมเผ่า ถูกลากเป็นทางยาวไปก่อนถึงประตูทางเข้าของวัดปทุมวนาราม [377] ซึ่งสอดคล้องกับการตรวจสอบจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ตรวจพบรอยเลือดบริเวณแยกเฉลิมเผ่า ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุให้ข้อมูลว่าพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวนหนึ่งตกอยู่ริมรั้วในด้านวัดบริเวณหน้าศาลาสินธุเสก และพบปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอกใต้รถกอล์ฟภายในวัดจอดอยู่บริเวณศาลาสินธุเสกใกล้กำแพงหน้าวัด ตรวจสอบแล้วพบว่าปืนเอ็ม 16 กระบอกนี้ เป็นปืนที่ผู้ชุมนุมยึดจากเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม2553 [378] ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ทาการตรวจค้นพื้นที่และอาคารภายในวัดปทุมวนาราม พบปืนพกไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืน 7.62 มม. จำนวน 300 นัด แก๊สน้ำตา จานวน 2 ลูก ประทัดยักษ์และระเบิดปิงปองจำนวนหนึ่ง [379] และในเดือนกันยายน 2553 หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูลจากประชาชนคนหนึ่ง จึงเข้าไปตรวจค้นบริเวณสวนป่าภายในวัดปทุมวนาราม พบอาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืนหลายรายการ และบัตรการ์ดนปช. 1 ใบ โดยสิ่งของดังกล่าวซุกซ่อนอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ในสวนป่า เช่น ปืนเอ็ม 16 จานวนหนึ่งกระบอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. จานวน 278 นัด ระเบิดขว้างชนิดสังหารจานวน 4 ลูก และกระสุนปืน .223 (5.56 มม.) จานวน 212 นัด และกระสุนระเบิดเอ็ม 79 ขนาด 40 มม. จำนวน 4 นัด [380]
2.6.8 เป็นที่น่าสังเกต ว่าเมื่อทาง ศอฉ. ได้มอบหมายภารกิจให้แก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแล้ว จากการสอบถามผู้นำระดับสูงของ ศอฉ. ทั้งที่เป็นฝ่ายการเมือง และผู้นำกองทัพ ปรากฏว่าไม่มีการติดตามตรวจสอบประเมินผลการปฏิบัติการโดยวิธีอื่น นอกจากรายงานตามสายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเท่านั้น ทั้งๆ ที่มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานยาวนานเกือบสองเดือนตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤษภาคม 2553 สำหรับระบบงานข่าวกรองของทางราชการแทบจะไม่มีส่วนสนับสนุนการปฏิบัติงานของ ศอฉ.และเจ้าหน้าที่ได้เลย ผู้นำของ ศอฉ.บางคนและหัวหน้าชุดปฏิบัติการในพื้นที่ ต้องพึ่งพาการหาข่าวของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวที่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาใน ศอฉ. บางครั้งยังไม่ตรงกับความจริง และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือวิตกกังวลเกินสมควรแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่อีกด้วย เช่น การแจ้งจำนวนคนชุดดำที่จะเข้าโจมตีก่อกวนเจ้าหน้าที่ในจำนวนที่เกินจริงเป็นอย่างมาก เป็นต้น
-เชิงอรรถ
[358] เอกสารชี้แจง คอป. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2555, หน้า 112
[359] ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากการตรวจสอบภาพถ่ายปลอกกระสุนปืนที่ผู้ชุมนุมเก็บได้เชื่อว่าพบในที่เกิดเหตุในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553
[360] คำสั่งกาหนดแนวทางมาตรการป้องกันตนเองของเจ้าหน้าที่ในระหว่างการปฏิบัติ เนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งเจ้าหน้าที่ถูกกลุ่มติดอาวุธ/ชายชุดดำใช้อาวุธระยะไกล/อาวุธวิถีโค้งยิงใส่แนววางกำลังของเจ้าหน้าที่ โดยให้รักษาระยะห่างระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ ประมาณ 150 เมตร และวางเครื่องกีดขวางป้องกันการเผชิญหน้ากันโดยตรง รวมทั้งจัดกำลังเข้าควบคุมพื้นที่สูงข่มโดยรอบที่ตั้ง ตามคำสั่งวิทยุ รอง.นรม./ผอ.ศอฉ./ผู้กากับการปฏิบัติงานฯ ลับ-ด่วนภายในวันที่ 11 เมษายน 2553 ที่ กห 0407.45/63 ลงวันที่ 11 เมษายน 2553 ลงนามโดย ผบ.ทบ./ผช.ผอ.ศอฉ.(3)
[361] จากภาพวีดิโอบันทึกเหตุการณ์และภาพถ่ายที่ปรากฏ ประกอบกับร่องรอยกระสุนบนถนนพระราม 4- บ่อนไก่
[362] ประชุมกับกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 13 มิถุนายน 2555
[363] รายงานการสอบสวนชันสูตรพลิกศพที่ 55/2553 ปากคาพยานที่ 2 นายคมสันติ ทองมาก ผู้สื่อข่าว สนข. เนชั่น
[364] รายงานการตรวจพิสูจน์ กลุ่มงานตรวจอาวุธปืนและเครื่องกระสุน กองพิสูจน์หลักฐานกลางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในสานวนสอบสวนคดี นายพัน คำกอง
[365] รายงานการสอบสวนคดีชันสูตรที่ 57/2553 กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 สานักงานตำรวจแห่งชาติ, แผ่นที่ 28
[366] รายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ กลุ่มงานตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ สานักตรวจสถานที่เกิดเหตุ
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รายงานหมายเลขคดีที่ CSI-S-5210-041
[367] สัมภาษณ์ผู้ชุมนุมที่อยู่ในเหตุการณ์, สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2555 และภาพวีดิโอเหตุการณ์บนถนนราชปรารภ
[368] โดยเมื่อ นปช. ประกาศยุติการชุมนุม ศอฉ. ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยซึ่งปฏิบัติการขอคืนพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี “หยุดการปฏิบัติและปรับกำลังเพื่อรักษาพื้นที่แนวปัจจุบัน” ปรากฏตามคำสั่ง ศอฉ. 1407.45/726 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553.
[369] เอกสาร ศอฉ. การรักษาความสงบเรียบร้อยจากสถานการณ์การชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล หน้า 45 แต่จากการสัมภาษณ์ทหารที่ปฏิบัติการในสวนลุมบอกว่าไม่มีการปะทะ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามีการยิงออกมาจากในสวนลุมพินีในช่วงเวลาดังกล่าว และยังปรากฏภาพคนชุดดาใช้อาวุธปืนเล็กยาวยิงเข้าไปในสวนลุมพินี โดยจากคาบอกเล่าของผู้สื่อข่าวชาวชาติประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ เชื่อได้ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทหารเข้าควบคุมพื้นที่สวนลุมพินี
[370] คำสั่ง ศอฉ. ที่ กห 0407.45/731 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
[371] ส.อ.กิตติพงษ์ สืบสาย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 ส่วนนางผุสดี งามขา ผู้ชุมนุมซึ่งยังอยู่ในบริเวณดังกล่าวและพนักงานรักษาความปลอดภัยของเซ็นทรัลเวิลด์ เข้าให้ข้อมูลกับ คอป. ในการประชุม Hearing ครั้งที่ 12 “กรณีการเผาสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด” เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2554 โดยให้ข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนกำลังมาถึงแยกราชประสงค์เวลาประมาณ 15.00 น.
[372] เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานนายหนึ่งได้เห็น การ์ดผู้ชุมนุมสองคนถือวัตถุชนิดหนึ่งโดยมีผ้าพันไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นอาวุธปืนยาว เดินบนทางเท้าถนนอังรีดูนังต์ด้านกองพิสูจน์หลักฐาน เมื่อถึงแยกเฉลิมเผ่าจึงเลี้ยวขวาไปทางกลุ่มผู้ชุมนุม และจากปากคำของนายตำรวจสันติบาลให้ข้อมูลว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่นั่งรถยนต์ผ่านสยามแสควร์มาถนนอังรีดูนังต์ จะเข้าประตูสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรงข้ามกับร้านโคคาสุกี้ ได้ถูกคนร้ายยิงไล่หลังมาจากแยกเฉลิมเผ่า
[373] กองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 จากจังหวัดลพบุรี
[374] บันทึกข้อความที่ ยธ 1009/1385, สรุปผลการดาเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานจากเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่และกระชับพื้นที่ วันที่ 10 เมษายน 2553 และวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์, หน้า 3
[375] รายงานการตรวจสถานทีเกิดเหตุที่ CSI-S-5305 – 126, กลุ่มงานตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ สำนักตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
[376] รายงานที่ 1207 (1209/2553) กลุ่มงานตรวจอาวุธปืนและเครื่องกระสุน กองพิสูจน์หลักฐานกลางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, หน้า 9 และประชุมกับกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 13 มิถุนายน 2555
[377] เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลชั้นผู้ใหญ่, สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2555
[378] รายงานการสอบสวนคดีพิเศษที่ 249/2553 แผนที่ 5 พล.ต.ท. ตรีทศ รณฤทธิวิชัย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2555, และ “ตร.พบปืนเอ็ม16 ซุกวัดปทุมฯ ถูกปล้นที่ดินแดง”, ไทยรัฐ,http://www.thairath.co.th/content/region/86062
[379] เอกสารชี้แจง คอป. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2555
[380] สัมภาษณ์ พล.ต.ท. ตรีทศ รณฤทธิวิชัย เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2555, รายละเอียดอาวุธที่ตรวจพบปรากฏตามสรุปผลการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานจากเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่และกระชับพื้นที่วันที่ 10 เมษายน 2553 และ วันที่ 19 พฤษภาคม 2553, สถาบันนิติวิทยาศาสตร์, หน้า 4 ระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบวันที่ 19 กันยายน 2553, และบันทึกข้อความที่ ยธ 1009/1385, สรุปผลการดำเนินการตรวจสถานที่เกิดเหตุและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานจากเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่และกระชับพื้นที่ วันที่ 10 เมษายน 2553 และวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์, หน้า 4 ไม่ระบุวันที่ตรวจพบ
-บรรยายภาพ
1.ป้ายเขตกระสุนจริง (Life Fireing Zone) ที่ ศอฉ.อ้างว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการกันเอง เพื่อเตือนไม่ให้ผู้ชุมนุมและประชาชนเข้ามา (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
2.ภาพครอบครัวนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่ ที่เสียชีวิตระหว่างร่วมชุมนุมกับ นปช. เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 ที่ศาลอาญามีคำสั่งเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2555 ว่าตายเพราะถูกยิงจากปืนของทหาร (ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์)