ศปช.ก็รับมี “ชายชุดดำ” แต่ไม่โยง เสธ.แดง ...เชื่อเป็นทหาร "หักกันเอง" ?
รายงาน ศปช.ก็ระบุมี "ชายชุดดำ" โผล่ช่วง นปช.ชุมนุมปี 53 จริง แต่...![]()
รายงานของ ศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ที่ใช้ชื่อ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” และเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา มีทั้งหมด 9 บท หนา 671 หน้า ไม่รวมภาคผนวก ถ้ารวมภาคผนวกด้วยจะหนาถึง 1390 หน้า แถมซีดีบันทึกคลิปเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ (10 เม.ย.2553) และกระชับวงล้อม (13-19 พ.ค.2553)
ในบทนำของรายงานเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการ “...สถาปนาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนในเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 และนำผู้ที่เกี่ยวข้องมารับผิดได้ในที่สุด...” (หน้า 23)
ทั้งนี้ หลังจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน เปิดเผยรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. ที่หนา 276 หน้า (ไม่รวมภาคผนวก) ซึ่งมีการสรุปเหตุการณ์ในปี 2553 ไปเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา
ก็เกิดปฏิกิริยาจากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ไม่ยอมรับรายงานของ คอป. เพราะมีการระบุถึงการปรากฏตัวของ “ชายชุดดำ” ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการ์ด นปช.บางส่วน รวมถึง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง นำไปสู่การฉีกรายงาน คอป. ต่อหน้าสื่อ เพื่อแสดงถึงการไม่ยอมรับ
“สำนักข่าวอิศรา” จึงขอหยิบเนื้อหาในรายงานของ ศปช.ในประเด็นที่น่าจะเป็นข้อถกเถียงที่สุดของสังคมไทยในเวลานี้ ได้แก่การมีอยู่ของ “ชายชุดดำ” ระหว่างการชุมนุมของ นปช.ในปี 2553 เพื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหาในรายงานของ คอป.ที่ได้รายงานไปก่อนหน้า
ดังนี้
“(หน้า 87-อยู่ในส่วน 'ลำดับเหตุการณ์และความตาย 10 เมษา') ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 น. ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงแรของการปะทะทหารรุกคืบเข้าใส่ผู้ชุมนุมโดยยิงกระสุนยางและกระสุนจริงสลับกัน ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นแนวปะทะแนวหน้าก็ถอยร่นกระเจิง ผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านหลังก็โต้ตอบฝ่ายทหารด้วยการขว้างปาสิ่งของใส่ อย่างไรก็ตามการปะทะในพื้นที่สี่แยกคอกวัวได้มีระเบิดเพลิงตกลงไปยังฝั่งทหารสองครั้ง ดังรูปจากคลิป [77]
ในช่วงท้ายของการปะทะกันในบริเวณนี่ ได้มี ‘กลุ่มชายชุดดำ’ พร้อมอาวุธปืนยิงเข้าใส่ฝ่ายทหาร กลุ่มผู้ชุมนุมต่างก็รุกฮอืเข้าไปหาทหาร แต่ยังไม่ได้ประชิดแนวกัน ส่วนฝ่ายทหารที่ถูกกลุ่มชายชุดดำเข้าโจมตีก็ต้องถอยร่นไปทางย่านบางลำพู ดังรูปจากคลิปเหตุการณ์ข้างบนสุดของบนความนี้ [78]
ในเหตุการณ์ช่วงนี้พบว่ามีประจักษ์พยานเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตที่บริเวณสี่แยกคอกวัว และกรณีชายชุดดำ คือพยานลำดับที่ 082 [79] ซึ่งเข้ามาบันทึกภาพเหตุการณ์ในพื้นที่สี่แยกคอกวัวตั้งแต่หลัง 18.00 น. ซึ่งพยานระบุว่าในช่วงที่ชายชุดดำเข้ามาที่บริเวณสี่แยกคอกวัว เวลานั้นไม่ปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมเสียชีวิตแล้ว จากคำให้การของพยานสอดคล้องกับคลิปและภาพที่ใช้อ้างเกี่ยวกับกรณีชายชุดดำ
ระหว่างที่พยานหลบอยู่ตรงป้อมตำรวจหน้าทางเข้าถนนตะนาวแยกคอกวัวนั้น เขาได้เห็นมีคนอยู่บนตึกกองสลากเนื่องจากเห็นว่ามีคนถูกยิงแล้วมีคนตะโกนว่ามีทหารอยู่บนตึก เขาจึงได้หันขึ้นไปดูแล้วเห็นว่ามีเงาหลบเข้าไป ส่วนคนที่ถูกยิงนั้นเป็นคนที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน เขาคิดว่าเป็นการยิงสกัดไม่ให้เข้าไป จากที่เขาเห็นคนที่ถูกยิงมีราวๆ 2-3 คน เมื่อเห็นว่ามีคนล้มเขาได้หันขึ้นไปมองบนตึก จึงได้เห็นว่ามีเงาไหวของคนอยู่บนนั้น
ขณะกำลังถ่ายวีดีออยู่นั้นเขาได้รู้สึกเหมือนมีอะไรกระเด็นมาติดที่หน้าของเขาซึ่งก็คือเลือดของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าที่ถูกยิงทะลุศีรษะ ตำแหน่งที่ถูกยิงอยู่บริเวณทางม้าลายข้างป้อมตำรวจ เขาเล่ามีเสียงปืนในขณะนั้นเป็นเสียงปืนแบบยิงทีละนัด ดังมาจากทางฝั่งทหาร ซึ่งขณะนั้นทหารไม่ได้ตั้งแนวแล้ว แต่จะอยู่ตามฟุตบาท ส่วนผู้ชุมนุมจะหลบอยู่ตามข้างทางเข่นกัน ไม่ได้ตั้งแนวอยู่บนถนน [80] แล้วสักพักเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรลอยข้ามหัวไปตกทางฝั่งทหารแล้วเกิดการระเบิดขึ้นบริเวณทางเข้าข้าวสาร แต่ตัวเขาไม่ได้เห็นทหารที่บาดเจ็บจากการระเบิด ต่อมามีคนดันหลังพยานแล้วบอกให้หลบ เป็นชายถืออาวุธสงครามเดินแทรกขึ้นไป ชายชุดดำ 2 คนได้มาหลบอยู่หลังรถที่จอดอยู่ทางเข้าถนตะนาว เยื้องกับป้อมตำรวจที่เขาอยู่ ชายชุดดำทั้ง 2 คน จะผลัดกันยิงสลับซ้ายขวา โดยใช้อาวุธสงคราม และทหารได้ยิงตอบโต้กลับมาที่ชายชุดดำด้วย จากนั้นชายชุดดำสองคนที่หลบอยู่หลังรถก็เดินแยกกันเดินเข้าไปสองข้างทางมุ่งไปหาแนวทหาร ระหว่างที่ชายชุดดำยิงไล่ทหารเข้าไปเสียงปืนก็ค่อยๆ เบาลงจนเสียงปืนเงียบไป จากที่พยานเห็น ช่วงจังหวะที่ชายชุดดำเข้ามาที่บริเวณคอกวัวนั้นเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ไม่มีผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิตอีกแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานภาพเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการเดินทางของชายชุดดำ [81] เข้ามายังบริเวณสี่แยกคอกวัว ซึ่งเป็นภาพจากกล้อง CCTV ที่ระบุเวลาในภาพ ภาพที่ 1 เป็นภาพรถตู้กำลังขับเข้าไปบริเวณสี่แยกคอกวัว ถ่ายได้ในเวลา 20.19 น. ที่บริเวณสี่กั๊กพระยาสี ภาพที่ 2 จะเห็นภาพชายชุดดำสวมหมวกคลุมถือปืน M 79 มาที่ถนนตะนาว ภาพที่ 3 จะเห็นรถตู้ขนชายชุดดำออกจากที่เกิดเหตุ ถ่ายได้ในเวลา 21.01 น.
(ภาพที่ 1)
(ภาพที่ 3)
และยังมีคลิปเกี่ยวกับชายชุดดำอีกคลิปหนึ่ง ในนาที่ 35.17 น. จะเห็นรถตู้ที่นำกองกำลังชายชุดดำเข้ามาที่บริเวณสี่แยกคอกวัว และมีอาวุธปืนอาก้า ระบุเวลา 20.24 น. วันที่ 10 เมษายน 2553 [82]
จากหลักฐานภาพถ่ายและคลิปวีดีโอ จะเห็นได้ว่า กลุ่มชายชุดดำเข้ามาถึงบริเวณสี่แยกคอกวัวประมาณ 20.20 น. ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาที่ไม่มีผู้เสียชีวิตอีกแล้ว เนื่องจากผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในบริเวณคอกวัว ซึ่งมีทั้งสิ้น 11 รายนั้น เวลาที่เกิดเหตุอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 19.00-20.15 น. ก่อนการปรากฏตัวของชายชุดดำ
ระหว่างที่ฝ่ายทหารถอยร่นไปนั้น มีหลักฐานทางพยานวัตถุและพยานบุคคลที่ให้การตรงกันว่า ระหว่างที่ฝ่ายทหารถอยร่น ฝ่ายทหารได้ยิงปืนกระสุนจริงมายังฝั่งผู้ชุมนุม รวมทั้งยังมีกระสุนปืนหลายประเภท หลายชนิด ตกอยู่ฝั่งผู้ชุมนุม
จากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับผู้ชุมนุมที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว-ถนนข้าวสาร ทำให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากการโดนยิงตั้งแต่หลัง 18.00 น. ในบริเวณนี้ 10 ราย”
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 10 รายดังกล่าว มีดังนี้
(1) นายธวัฒนะชัย กลัดสุข ซึ่งญาตินายธวัฒนชัยให้ข้อมูลว่า มีคนเล่าว่า ถูกยิงที่อกซ้ายทะลุหลัง เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.
(2) นายไพรศล ทิพย์ลม โดยภริยาของผู้ตายทราบเรื่องว่าถูกยิงที่ศีรษะในเวลา 19.00 น. เศษ
(3) นายอำพน ตติยรัตน์ มีคนมาเล่าให้มารดาของอำพนฟังว่าผู้ตายถูกยิงที่สี่แยกคอกวัว เวลาประมาณ 20.00 น. ขณะหลบอยู่หลังเสาไฟฟ้า นายตองหรือรัฐศักดิ์ (ไม่ขอเปิดเผยนามสกุล) ผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์ก่อนนายอำพนเสียชีวิตเป็นผู้เล่า
(4) นายอนันต์ สิริกุลวาณิชย์ ภรรยาโทรหามีนางพยาบาลจากโรงพยาบาลรับสายบอกว่า เจ้าของโทรศัพท์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาโดนยิงเข้าที่คอข้างซายที่สี่แยกคอกวัว เวลาเกือบ 20.00 น.
(5) นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ถูกยิงประมาณ 20.15 น. พยานอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่กับผู้ตายในเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว ให้ข้อมูลว่า นายเทิดศักดิ์น่าจะเสียชีวิตหลังจากระเบิดลงที่ฝั่งทหารแล้ว
(6) นายสวาท วางาม น้องชายนายสวาทให้การว่า ตน บิดาและผู้ตายไปถึงที่สี่แยกคอกวัวประมาณ 18.00 น.เศษ เมื่อทหารเริ่มยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม นายสวาทได้ถือธงแล้ววิ่งเข้าไปหาแนวทหารด้วยความโกรธ ตอนนั้นมีคนตะโกนบอกให้ผู้ชุมนุมบริเวณนั้นหมอบลง ส่วนตัวก็ล้มลงเพราะโดนไม้จากฝั่งเดียวกันโยนเข้ามาโดนขา แต่นายสวาทก็โดนยิงเข้าศีรษะขณะกำลังหามาดูพยานที่ล้มพอดี
(7) นายบุญธรรม ทองผุย ภริยาของผู้ตายเล่าว่า เพื่อนของบุญธรรมที่อยู่ร่วมเหตุการณ์เล่าว่า บุญธรรมถูกยิงเสียชีวิตที่แยกคอกวัว หลังย้ายมาจากราชประสงค์เมื่อที่ผ่านฟ้าขอกำลังเสริม ก่อนถูกยิงมีการผลักกันไปมา และผู้ตายก็ยืนโบกธงเพื่อให้ทหารหยุดแต่ทหารก็ยิงเข้ามา
(8) นายสมิง แตงเพชร บุตรสาวของผู้ตายเล่าว่า ไม่มีใครเห็นตอนบิดาถูกยิงแต่คนที่รู้จักกันบอกว่าในช่วงเกิดเหตุเขาวิ่งสวนกับนายสมิงอยู่ โดนนายสมิงวิ่งไปข้างหน้าหาทหาร ด้านภริยาของผู้ตายกล่าวว่า เพื่อนของผู้ตายเล่าว่า ผู้ตายถูกยิงที่ตรงสี่แยกคอกวัว ตอนแรกพวกเขานึกว่าทหารยิงด้วยกระสุนปลอม แต่ต่อมาก็ยิงด้วยกระสุนจิรง จนเป็นเหตุให้นายสมิงถูกยิงที่ศีรษะ เวลาประมาณ 20.15 น.
(9) นายสมศักดิ์ แก้วสาร ภรรยาของนายสมศักดิ์ระบุว่า ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตทันทีที่สี่แยกคอกวัว
(10) -ในรายงานไม่มีระบุ-
“(หน้า 118) ตัวตนอันเป็นปริศนาของ ‘ชายชุดดำ’
กลุ่ม ‘ชายชุดดำ' จนถึงปัจจุบันยังไม่มีข้อยุติว่าชายชุดดำเป็นใคร แม้ว่าจะมีการจับกุมดำเนินคดีกับบุคคลที่อ้างว่าเชื่อมโยงกับชายชุดดำและ นปช.และในบางกรณีก็มีการยกฟ้องไปแล้ว มีการตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มชายชุดดำอาจจะมาจากความขัดแย้งในกองทัพ โดยกลุ่มทหารอีกฝ่ายหนึ่งที่ขัดแย้งกับกลุ่มทหารที่มีอำนาจในขณะนั้น และใช้ช่วงเวลานี้ในการกำจัดผู้นำของกลุ่มที่มีอำนาจ ซึ่งภายหลังเหตุการณ์เพียงสองวันคือในวันที่ 12 เมษายน ก็ได้มีข่าวที่อธิบายถึงความเป็นได้นี้ โดยมีการอ้างถึงแหล่งข่าวซึ่งเป็นทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ในคืนนั้น (ไม่มีการระบุตัวตนทหารคนนี้ในข่าว) [139]
นายทหารคนนั้นได้กล่าวว่าในขณะที่สี่แยกคอกวัวกำลังเกิดความวุ่นวายอยู่นั้น พล.ต.วลิต โรจนภักดี (ผู้บังคับการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์) กำลังนั่งประชุมวางแผนอยู่ที่ริมทางเท้าในถนนตะนาวลึกเข้าไปทางตลาดบางลำพู โดยมี พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมและ พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ได้มีระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงลงมาจากที่สูงตกลงกลางวงนายทหารระดับสูงที่กำลังนั่งประชุมกันอยู่นั้นถึง 2 ลูก ทำให้ พล.ต.วลิตและ พ.ท.เกรียงศักดิ์ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ทราบว่า พ.อ.ร่มเกล้าได้รับบาดเจ็บจากระเบิด 2 ลูกนี้หรือไม่ หลังจากมีระเบิดลูกที่สองแล้วได้มีการยิงด้วยอาวุธปืนซ้ำอีกครั้งทำให้ พ.อ.ร่มเกล้าได้รับบาดเจ็บสาหัส
ซึ่งทหารที่ให้สัมภาษณ์นี้ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้ยากที่ผู้ชุมนุมทั่วไปหรือไม่ได้อยู่ในแวดวงการทหารจะสามารถแยกออกได้ระหว่างพลทหารกับนายทหารได้เนื่องจากการแต่งกายไม่ได้ต่างกันมากนักหากไม่ได้มีการสังเกตจะไม่ทราบ และจากสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นยิ่งเป็นไปได้ยาก และเขายังเห็นว่าก่อนที่จะมีระเบิดตกลงกลางวงประชุมยังได้เห็นว่ามีการใช้เลเซอร์สีแดงพุ่งตรงลงไปยังกลุ่มนายทหารอีกด้วย
ในข่าวยังอธิบายความเกี่ยวพันระหว่างชายชุดดำกับเหตุการณ์นี้เอาไว้ว่าอาจจะเกิดจากการ ‘วางยา’ กันเองภายในกองทัพเนื่องจากการปฏิบัติการในวันที่ 10 เมษายนนั้นการเริ่มปฏิบัติการในช่วงบ่ายและยืดเยื้อจนถึงกลางคืนโดยไม่จำเป็น เป็นการสุ่มเสี่ยงจากการถูกโจมตีจากมือที่สาม และความผิดพลาดในการปฏิบัติการที่ไม่ทำการปิดล้อมจากหลายทิศทางแต่กลับมีการปฏิบัติการเพียง 2-3 ทางทำให้ไม่สามารถกดดันให้ผู้ชุมนุมสลายการชุมนุมได้สำเร็จทำให้ปฏิบัติการยืดเยื้อ
ได้มีการคาดการณ์ถึงสาเหตุของการ ‘วางยา’ ครั้งนี้โดยมีการอ้างถึงข้อมูลที่ได้จากแวดวง ‘คนมีสี’ ซึ่งได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นการลงมือของทหารด้วยกันเองเนื่องจากมีฝ่ายที่ไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของ พล.ร.2 รอ. ซึ่งมีนายทหารทั้งสามคนนี่คุมกำลังในเหตุการณ์ แต่กลับไม่เกิดความสูญเสียอย่างที่หวังและอาจจะรวมถึงไม่พอใจที่ทหารของกลุ่ม ‘บูรพาพยัคฆ์’ ซึ่งก็คือ พล.ร.2 รอ. ที่ได้เข้ากุมอำนาจในกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ
ส่วนวาสนา นาน่วม ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ลับ ลวง เลือด ว่า เป็นความขัดแย้งของกลุ่มทหารวงศ์เทวัญที่ต้องการกำกจัดบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งได้ตำแหน่งสำคัญจนหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นของกลุ่มวงศ์เทวัญ [140] อีกทั้งแกนนำ นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องชายชุดดำ ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ว่า ในคืนนั้นมีกระแสข่าวว่าจะมีการปฏิวัติโดยกองทัพ แต่จะมีการปฏิบัติซ้อน และมีการคุยโทรศัพท์กับชายลึกลับว่า พวกพี่มาช่วยแล้ว ไม่ต้องกลัว ถ้ามีการปฏิวัติ”
ทั้งนี้ในรายงานของ ศปช.ไม่ได้อ้างถึงความเชื่อมโยงระหว่าง “ชายชุดดำ” กับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เหมือนกับรายงานของ คอป.แต่อย่างใด
...ลองอ่านเปรียบเทียบกับ “ชายชุดดำ ในรายงาน คอป.”
-เชิงอรรถ
[77] ที่มา “10 เม.ย.2553 19.25 น. สี่แยกคอกวัว, “สืบค้นจากเว็บไซต์ Youtube, อัพโหลดโดย aksalaable on Apr 15,2010, http://youtu.be/rL2ZXmSwYX4 (สืบค้นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554).
[78] อัพโหลดใน youtube โดย rattanachot2012.
[79] พยานลำดับที่ 082, สัมภาษณ์โดย ศปช., วันที่ 19 เมษายน 2555, กรุงเทพฯ.
[80] ที่มา “หลั่งเลือดมาแผ่นดิน Bloodshed begins,” สืบค้นจากเว็บไซต์ Youtube, อัพโหลดโดย Thailandmirror on Apr 10, 2010, http://www.youtube.com/watch?v=-oll2lUfZjA (สืบค้นวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554) ในคลิปพบรอยเลือดบริเวณที่พยานให้การ แต่ไม่สามารถระบุผู้เสียชีวิตได้ว่าเป็นคนใด เนื่องจากไม่มีภาพผู้เสียชีวิต และข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตจากพยานรายอื่น.
[81] ภาพสไลด์ชุดนี้ เป็นชุดที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใช้อภิปรายในสภาระหว่างวันท่ 15-16 มีนาคม พ.ศ.2554 โดยกล่าวอ้างว่ามีกองกำลังติดอาวุธ หรือผู้ก่อการร้รายในที่ชุมนุม โดยเกี่ยวข้องกับแกนนำ ที่มา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร
[82] ถูกบันทึกโดยผู้ไม่ประสงค์ออกนาม, มอบให้ ศปช. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554.
[139] “แกะรอย 10 เมษาฯ นองเลือด ย้อนรอยเอ้ม 79 ถล่มแยกคอกวัว ทหารหักทหาร...บูรพาพยัคฆ์...,” กรุงเทพธุรกิจ, 12 เมษายน 2553 และ “ไส้ศึกทหารสอย ‘บูรพาพยัคฆ์’.” คม ชัด ลึก 12 เมษายน 2553.
[140] ที่มา วาสนา นาน่วม ลับ ลวง เลือด (กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน, 2553), หน้า 103-106 ส่วนคำพูดนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อ้างใน ฟ้ารุ่ง ศรีขาว, สุภาพบุรุษไพร่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน, 2553) หน้า 156-157.
-หมายเหตุภาพทั้งหมดถ่ายจากรายงานของ ศปช.โดยใช้กล้องจากไอโฟน 4 เอส
