ตัดกฎหมายให้เข้ากับ "เก้าอี้รมต." กฤษฎีกา-ก.พ.ระวังเสียคนเพราะ "ยงยุทธ"?

คำเปรียบเปรยของ “นายวิชา มหาคุณ” กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึงกรณีที่ “นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ” อ้างได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 จากความผิดทางวินัยร้ายแรงตามการชี้มูลของ ป.ป.ช.ในคดืที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ทำให้ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ว่า
“ขณะนี้ท่านทั้งหลายและรัฐบาล ตอนนี้ก็เปรียบเสมือนช่างทำรองเท้า และกำลังจะตัดรองเท้าให้ท่านรัฐมนตรีเดินอย่างสง่างาม แต่อย่ามาใช้วิธีการตัดเท้าให้เข้ากับรองเท้าที่ได้เตรียมทำไว้แล้ว เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะบาดเจ็บ เดินไปไม่ถูก ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด ช่วยตัดรองเท้าใหม่ให้เข้ากับท่านดีกว่า”
ถือว่าชวนฟังและน่าคิดตามไม่น้อย
เพราะถึงวันนี้ยังมีข้อถกเถียงกันว่า นายยงยุทธที่ถูกคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทย มีมติให้ “ไล่ออก” จากราชการ โดยให้มีย้อนหลังไปในวันที่ 30 ก.ย.2545 ที่นายยงยุทธเกษียณอายุราชการ ได้รับการล้างมลทินไปตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวแล้ว จริงหรือ?
โดยฝ่ายค้านเตรียมยื่นกระทู้สด ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 27 ก.ย.นี้ด้วย
ทั้งนี้ มาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ระบุว่า “ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค.2550 และได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีนั้นๆ”
คำว่า “ได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ” เป็นปมปัญหาที่หลายฝ่ายหยิบไปตีความ
โดยสิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลอ้าง นอกจากอ้างกรณี “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ถูก ถูกลงโทษทางวินัยหลังปี 2550 แต่ให้มีผลย้อนหลังไปในวันที่ยื่นใบลาออกจากราชการในปี 2546 ที่ได้รับอานิสงส์ “ล้างมลทิน” จาก พ.ร.บ.ดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ก็ยังอ้างถึงหนังสือของ “สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา-สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)” ที่ส่งมาถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อรับรองว่า มท.1 ได้รับการ “ล้างมลทิน” ไปแล้วแน่นอน
(อ่าน! เปิดหนังสือ “กฤษฎีกา-ก.พ.” การันตีเก้าอี้ “ยงยุทธ”)
อย่างไรก็ตาม สิ่งอ้างอิงทั้งจาก “1 คน-2 หน่วยงาน” ดูเหมือน หากไม่ใช่เรื่องที่ (จงใจ?) เข้าใจผิด ก็มีข้อพิรุธชวนตั้งคำถาม จนทำให้นึกถึงคำพูดของนายวิชาข้างต้นว่า “ตัดเท้าให้เข้ากับรองเท้า”
เหตุเพราะ
(1) ที่อ้างกรณีนายปลอดประสพ บันทึกของ ก.พ.ที่ส่งถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ยืนยันว่าข้อเท็จจริงมีความแตกต่างจากกรณีนายยงยุทธ เพราะนายปลอดประสพเคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงโดยคำสั่งของนายกฯสมัยนั้น ที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ท้ายสุด คณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้ “สั่งยุติเรื่อง”
ดังนั้นนายปลอดประสพจึงได้รับการเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ในมาตรา 6 ที่มีบทบัญญัติว่า “บรรดาผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการอันมิใช่เป็นการลงโทษทางวินัยก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค.2550 และบรรดาผู้ถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีกระทำผิดวินัยซึ่งผู้บังคับบัญชาได้สั่งยุติเรื่องหรืองดโทษก่อนหรือในวันที่ 5 ธ.ค.2550 ให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกพิจารณาเพิ่มโทษหรือถูกดำเนินการทางวินัยในกรณีนั้นๆ ต่อไป”
การอ้างกรณีนายปลอดประสพ จึงเป็นเรื่อง "ผิดฝาผิดตัว" เพราะนายยงยุทธที่ไม่เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย แล้วมีการสั่งให้ “ยุติเรื่อง/งดโทษ”
(2) จากข้อเท็จจริงกรณีนายปลอดประสพที่แตกต่างจากกรณีนายยงยุทธ ซึ่งในบันทึกของ ก.พ.ที่ส่งถึงนายกฯ ก็เปรียบเทียบข้อเท็จจริงของทั้ง 2 คน ว่ามีความแตกต่างกัน แต่กลับสรุปเอาห้วนๆ ว่าได้รับการล้างมลทินเหมือนกันเพราะ “คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยว่า คำสั่งลงโทษที่มีผลย้อนหลังไปก่อนหรือในวันที่กฎหมายว่าด้วยการล้างมลทินใช้บังคับ ย่อมได้รับการล้างมลทินตามกฎหมายล้างมลทินแล้ว”
“กรณีของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ซึ่งถูกลงโทษและได้รับการล้างมลทินแล้ว เท่ากับปัจจุบันนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ จึงถือว่าไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยมาก่อน”
(3) เมื่อเปิดดูบันทึกของกฤษฎีกา ที่ส่งถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็พบข้อชวนสงสัย ทั้ง 1.เหตุใดผู้ตอบคำถามที่นายกฯถามมาจึงเป็น “สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” โดยไม่มีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใดให้ความเห็น ทั้งๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายอยู่มากมาย และ 2.เหตุใดบันทึกของกฤษฎีกาจึงอ้างถึง พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2526 และความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อ 29 ปีก่อน (ตามเรื่องเสร็จที่ 440/2526) เพื่อสรุปว่านายยงยุทธได้รับการ “ล้างมลทินย้อนหลัง” ไปแล้ว
ทั้งๆ ที่ถ้อยคำใน พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2526 และ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 ถูกติงว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (ฉบับปี 2526 ใช้คำว่า “ถูกลงโทษ...ก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับ” ส่วนฉบับปี 2550 ใช้คำว่า “ได้รับโทษ...ก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับ”)
และทั้งๆ ที่ มีความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งอัพเดทกว่าในปี 2552 (เรื่องเสร็จที่ 234/2552) ที่ตั้งคำถามมาตรงๆ “เรื่อง ขอให้ทบทวนปัญหาการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550” แต่ทำไมสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่อ้างความเห็นนี้?
หรือเพราะความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อ 3 ปีก่อน (ซึ่งประชุมร่วมกันถึง 3 คณะ ได้แก่คณะที่ 1 คณะที่ 2 และคณะที่ 11) มีถ้อยคำที่ระบุว่า “หากผู้ถูกดำเนินการทางวินัยยังไม่ได้รับโทษทางวินัยตามเงื่อนไขที่จะทำให้ได้รับการล้างมลทินตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 จึงทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ดังกล่าว ดังนั้น จึงดำเนินการทางวินัยกับผู้นั้นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติต่อไปได้”
(ดู ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามเรื่องเสร็จที่ 234/2550)
ในเวลานี้ ได้มีกลุ่มคนยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคุณสมบัติของนายยงยุทธจากกรณีดังกล่าว
จึงน่าสนใจว่า หากหน่วยงานที่มีอำนาจอื่น วินิจฉัยต่างไปจากที่ “กฤษฎีกา-ก.พ.” ทำบันทึกเสนอนายกฯ ยิ่งลักษณ์แล้ว ทั้ง 2 หน่วยงานนี้จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร?
