แหวกหัวใจ "พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร" เลขาฯสมช.คนใหม่
EXCLUSIVE! เลขาฯสมช.คนใหม่ "พล.ท.ภราดร พัฒนาถาบุตร" เปิดใจ ถึงการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องภาคใต้ พร้อมพูดถึงสายสัมพันธ์ทางครอบครัว กับคนที่ชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"

คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ขึ้นเป็น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เลขาฯสมช.) คนใหม่ หลังจากที่เจ้าตัวกลับนั่งในตำแหน่งรองเลขาฯ สมชเมื่อหลาย เดือนก่อนเพื่อพักคอยเวลาที่เหมาะสม
บทบาทของ เลขาฯสมช.คนนี้ รัฐบาลได้จัดวางให้รับงานใหญ่ในฐานะที่ทำหน้าที่เป็น เลขานุการศูนย์ปฏิบัติการของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก. กปต.) ที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อประสานการทำงานในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีเป้าหมายให้แผนงานปรากฏเป็นรูปธรรมในปี 2556 ที่จะถึง
“ทีมข่าวอิศรา” มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ พล.ท.ภราดร หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เสธ.แมว” เกี่ยวกับการทำงานของ ศปก.กปต. และเส้นทางการทำงานก่อนขึ้นมาถึงตำแหน่ง เลขาฯสมช.คนใหม่ พร้อมทั้งเปิดใจถึงสายสัมพันธ์ที่โยงใยไปถึง “นายปรีดา พัฒนถาบุตร” ผู้มีศักดิ์เป็นอา และนายเก่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ศปก.กปต. แบ็คอัพ “ส่วนหน้า”
เขาเริ่มที่การเล่าถึงที่มาในการจัดตั้ง ศปก.กปต.ว่า นโยบายได้ผ่านกระบวนการทางรัฐสภามาแล้ว รัฐบาลก็หยิบเป็นตัวตั้ง กลไกหลักที่เป็นการบริหารจัดการตามนโยบายนี้มี 2 ปีก ปีกซ้าย คือ กองอำนวยการรักษาความั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ดูแลความมั่นคง ปีกขวา คือ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ดูแลงานด้านการพัฒนา ตอนนี้ รัฐบาลประสงค์ให้บูรณาการสองหน่วยงานนี้ ให้ขับเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพ และสนับสนุนซึ่งกันและกันกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คือ 17 กระทรวง 66 หน่วยงานที่อยู่ส่วนหลังจะได้สนับสนุน 2 หน่วยงานนี้อย่างเป็นระบบ รัฐบาลก็ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กปต.) คณะกรรมการนี้มี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ มีเลขาฯสมช. เป็นเลขานุการคณะกรรมการ
เมื่อมีคณะกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นมันก็มีการบริหารจัดการ บูรณาการ ประเมิน ก็ต้องมีฝ่ายเลขาฯ ของคณะกรรมการ เพื่อช่วยประสานงานให้คณะกรรมการ เลยมีการตั้ง ศปก.กปต.ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวช่วยอำนวยการให้คณะกรรมการ เพื่อประสิทธิภาพของการอำนวยการ ก็ให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ และมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายฯ, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กระทรวงกลาโหม เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ฯ โดยมีเลขาฯสมช.เป็นเลขานุการ และมีรองเลขานุการ 2 คนในปีก กอ.รมน. และ ศอ.บต. ทั้งนี้ กอ.รมน.จะส่ง ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 และ รอง ผอ.ศอ.บต.มาช่วย
“น้ำหนักตรงนี้ไม่ใช่การสั่งการ แต่เน้นการสนับสนุนส่วนหน้า คือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต.ในพื้นที่ซึ่งส่วนหน้าเราจะใช้ กองทัพภาคที่ 4 เป็นแกนโดย ศอ.บต. ก็จะส่งรอง ผอ.ศอ.บต. ไปช่วยแม่ทัพภาคที่ 4 ด้วย เพื่องานพัฒนา และงานความมั่นคงควบคู่กันไป เมื่อเกิดอุปสรรคที่กองหนุน คือ 17 กระทรวง 66 หน่วย งาน ไม่รื่นไหล ก็จะกลับไปสู่ ศปก.กปต. ซึ่งมอนิเตอร์อยู่ ก็ช่วยดันเพื่อสนับสนุนส่วนหน้า เพื่อให้การทำงานเป็นเอกภาพ และเต็มรูปแบบมากขึ้น
"โดยเฉพาะในปี 2556 แผนงานต่างๆ ที่สนองตอบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เดิมทีกระจัดกระจาย สะเปะสะปะ ไม่เต็มรูปแบบจะเข้ามาสู่กรอบเลย โดยเป็นแผนงานที่ชัดเจน มี รหัสการควบคุมที่ชัดเจน มีการสั่งการที่ชัดเจน เราตรวจสอบแผนงานต่างๆ ปั๊ป เราจะรู้ว่าก้าวหน้า หรือไม่ก้าวหน้า ติดขัดอะไร ถ้าติดขัดที่ส่วนหน้าเขาแก้ไขได้ก็แก้ไขไปเลย แต่ถ้าเกิดปัญหาในส่วนกระทรวง ที่อยู่ข้างหลัง ที่มีส่วนหน้าสั่งการไม่ได้ มันก็จะย้อนกลับมาที่ ศปก.กปต.ใน การขับเคลื่อน โดยใช้อำนาจของคณะกรรมการ ซึ่งหากคณะกรรมการบริหารจัดการได้ก็ว่ากันไป แต่ถ้ายังไม่พอคณะกรรมการก็เสนอนายกรัฐมนตรี”
กระนั้น หลายฝ่ายก็ห่วงว่าการเดินหน้างานด้านการพัฒนา ในจังหวะที่สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ยังหนักหน่วงเป็นความเร่งรีบเกินไป ของรัฐบาลหรือไม่นั้น?
เขาก็ยอมรับว่า ในข้อเท็จจริงมีคนกังวลอยู่ แต่อย่าลืมว่าเกิดเหตุการณ์จริงอยู่ในเกณฑ์ 15 % ของพื้นที่เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ที่เหลือไม่มีเหตุการณ์ งานพัฒนาเขาก็ทำเต็มที่ในพื้นที่ปลอดภัย ส่วนพื้นที่ที่เป็นปัญหาก็แน่นอนว่าต้องควบคุมอย่างใกล้ชิด โดยทำให้พื้นที่สีแดง จางลงเป็นสีชมพู แล้วค่อยนำงานพัฒนาเข้าไป ในส่วนหน้าจะมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ส่วนยุทธศาสตร์หลัก เรื่อง การเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ในความหมายมีทั้งเรียงกันดำเนินการ หรือหมุนย้อนศร
“แต่ถ้าเขียนเป็นตัวแบบ จะเป็นลูกศร ทั้งหมุนตามเข็มนาฬิกา และ หมุนตามเข็มนาฬิกา คืออาจหมายถึง เข้าใจ เข้าถึง แล้ว พัฒนา หรืออาจจะเข้าถึง พัฒนา แล้วค่อยเข้าใจ หรืออาจจะพัฒนาไปก่อน จึงจะมาเข้าถึง แล้วเข้าใจ เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจในประเด็นยุทธศาสตร์หลักก่อนว่าเป็นอย่างนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และ ความจำเป็นในพื้นที่นั้นๆ เพราะฉะนั้น ศปก.กปต.ที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุปสรรค แต่จะเป็นตัวเกื้อกูลให้ส่วนหน้า ที่เวลามีปัญหาแล้วเขาก็จะสะท้อนปัญหาขึ้นมาทันที จะไม่มีการแทรกแซง น้ำหนักคือยังให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วน หน้า และ ศอ.บต. ที่เป็นคนอยู่ในพื้นที่เป็นคนกำหนด แต่ถ้าส่วนหลังที่ต้อง แบ็คอัพ เพราะว่าไม่ใช่ส่วนของเขาโดยตรง เช่นเรื่องการศึกษา การอำนวยความยุติธรรม การพัฒนาคุณภาพชีวิต การ สร้างความเข้าใจ สิทธิมนุษยชนกับต่างประเทศ ส่วนหน้าเขาจัดการตรงนี้ไม่ได้หรอก ต้องสะท้อนกลับขึ้นมา ข้างบนก็จะเป็นผู้ช่วยอำนวยการหรือประสานการปฏิบัติตรงนั้นให้ เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม”
เร่งแก้ม.21- ลดพื้นที่ใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ
เขาบอกว่า งานด้านการพัฒนาที่เราเห็นว่ามีปัญหา เช่นประเด็นโครงการการศึกษาในการพัฒนาเชิงลึกขึ้นไป เพื่อยกฐานะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษา ครูสอนศาสนา วุฒิของการศึกษาของคนที่เรียนจากตะวันออกกลาง สังเกตได้ว่าในพื้นที่ไม่มีอำนาจหน้าที่พอที่จะไปสร้างให้เป็นรูปธรรม ต้องอาศัยส่วนหลังเป็นคนทำให้ แต่ที่ผ่านมาส่วนหลังเคลื่อนตรงนี้ช้า ก็เลยเกิดเป็นเงื่อนไขขึ้นมาว่ารัฐไม่ให้ความสำคัญจริง รัฐดีแต่พูด ไหนว่าจะขยายการศึกษา จะเอาเงินมาช่วยตรงนี้ ทำโรงเรียนนี้ ทำไมยังไม่มา เรื่องคุณวุฒิครูก็เป็นปัญหา เรื่องของภาษาก็เป็นปัญหา ซึ่งพื้นที่สะท้อนปัญหาขึ้นมาจริง แต่ว่าการขับเคลื่อนของกระทรวงศึกษาธิการ มันรื่นไหลไปช้ามากๆ หรือแม้กระทั่ง กระบวนการที่เอื้ออำนวยกับความยุติธรรม หรือ ม.21 พรบ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร พอจะแก้ไขก็ไม่ได้ เพราะกระบวนการต้องไปเกี่ยวกับข้างบน ที่เป็นฝ่ายกฎหมายกลาง ที่จะทำให้คลอบคลุมการปฏิบัติ จะมามอบตัวในพื้นที่แต่ว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้ประกาศ พรบ.ความมั่นคงฯ มันจะใช้ได้หรือไม่ ทุกอย่างจะเป็นปัญหาไปหมด ตรงนี้จำเป็นต้องให้กองหลังเข้าใจ และ ไปจัดตัวแบบให้เรียบร้อยและก็ส่งมาข้างหน้า ข้างหน้าเขาสะท้อนปัญหา แต่เขาไม่มีขีดความสามารถพอหรอกที่จะออกกฎกติกาในสิ่งที่เขาต้องการ เพราะว่าเป็นอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย
“เหมือนกรณีของ ม.21 ถ้าเกิดตกผลึกกันได้ทุกฝ่าย และยอมรับได้ แน่นอนว่าถ้าผ่านขั้นตอนของการเป็นพระราชบัญญัติ ก็อาจจะใช้เวลา แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ มันก็อาจเป็นพระราชกำหนด ซึ่งมันก็สามารถจะทำได้เร็ว แต่จะต้องเป็นการตกผลึกร่วมกันด้วย ….”
ส่วนแนวคิดเรื่องการยกเลิกกฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะประกาศพรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น?
พล.ท.ภราดร กล่าวว่า เป็นหลักการตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วจนมาถึงรัฐบาลนี้ ก็เป้าประสงค์ตรงกันในการลดดีกรีความเข้มข้นของกฎหมายพิเศษลงไป หมายความว่าพื้นที่ที่ใช้ พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าพื้นที่ใดประเมินแล้ว และ สถานการณ์อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ ก็จะถอยออกมาเหลือแค่ พรบ.ความมั่นคงฯเป็นกฎหมายพิเศษที่มีดีกรีเบาลง ก็จะทำให้บรรยากาศดีขึ้น ถึงจุดสุดท้ายเป้าหมายก็ตรงกันว่า ถ้าใช้ พรบ.ความมั่นคงแล้ว สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ก็เข้าสู่กฎหมายปกติ เป็นขั้นเป็นตอนไป แต่รัฐบาลมุ่งมั่นและพึงประสงค์ที่จะทำ เพราะตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงกำลังประเมินอยู่ว่า พื้นที่ที่ประกาศ พรก.ฉุกเฉินฯ มีพื้นที่ไหนที่พอจะลดดีกรีเป็น พรบ.ความมั่นคงฯ ได้
“เราต้องถ้าเราดูว่ามันจะวนกลับไหม เราถอยกลับไปว่าเมื่อตอนที่เราไปใช้ พรบ.ความมั่นคงฯ ใน 4 อำเภอ จ.สงขลานั้น มันไม่วนกลับมาแล้วนะ เพราะส่วนมากก่อนที่เราจะประกาศ เราจะประเมินและมั่นใจว่าสถานการณ์มันจะไม่กระตุกกลับมา เราต้องกุมสภาพได้ ถ้ากุมสภาพยังไม่ได้ ทำไปก็จะวนกลับไปเกิดเหตุอีก..”
ใช้ “บุคคลที่สาม”เจรจาผู้ก่อเหตุ
เมื่อเราถามถึงแนวทางเปิดการพูดคุยและแสดงความเห็นของผู้ที่มีความเห็นต่าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ?
เขาเล่าให้ฟังว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากหลายกลุ่ม แต่หลักการนโยบาย และ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลชัดเจน คือการเปิดพื้นที่ให้ลดความขัดแย้ง โดยเปิดพื้นที่พูดคุย อันไหนที่คุยได้ก็คุยไป อันไหนที่คุยไม่ได้ ก็ต้องใช้เวลาไป ก็ต้องแก้ ก็ต้องต่อสู้ทางยุทธวิธีกันไป อันไหนพูดคุยกันได้ก็ต้องพูดคุย แต่แน่นอนว่า ฝ่ายที่เขารุนแรง สุดโต่ง เขาก็ไม่คุย ถามว่าพอรู้ไหมก็รู้ แต่เขายังไม่คุยกับเรา แต่เราก็ต้องอดทน พัฒนาการกันไป แต่กลุ่มไหนที่คิดว่าเขาสู้ไม่ได้ หรือ บางกลุ่มคิดว่าสู้ได้ แต่สู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้น มาพูดคุยกันดีกว่า อย่างนี้เราก็ไล่ไปเรื่อย
“แต่ถามว่ากลุ่มนี้เยอะไหม มันเยอะมากๆ เลย แต่แน่นอนว่า ลดทอนไปบ้างดีกว่าไม่ลดเลย แต่อาจจะเกิดแง่มุมหนึ่งว่า บางทีคุยกันไปแล้ว กลุ่มที่สุดโต่งก็ยิ่งแรงไปใหญ่ เพราะมันก็หงุดหงิด เพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดการพูดคุยกัน ตรงนั้นก็ต้องทำไป เพราะเรายังยืนยันในกระบวนการแก้ไขปัญหาในทางสันติวิธี เราก็ต้องทำจุดนี้ต่อไป ..
เราทำในลักษณะของทางเปิด และทางปิด เป็นเรื่องปกติของการพูดคุยแบบนี้ เพราะคนที่ไม่ถูกกฎหมาย เจรจาทางเปิดไม่ได้ และการพูดคุยที่ดีที่สุดต้องผ่านกลไกบุคคลที่สาม เพราะบางครั้งเจ้าหน้าที่ไปคุยกับคนที่ผิดกฎหมายก็เป็นปัญหา ดังนั้นทางออกของสองฝ่ายคือผ่านบุคคลที่สามมา กว่ากระบวนการจะตกผลึกร่วมกัน จึงจะถึงตัวจริงมาเจอกัน แต่กระบวนการก่อนตัวจริงมาเจอกันผ่านบุคคลที่สามทั้งนั้น เพราะเขายังไม่วางใจรัฐ รัฐก็ไม่เชื่อว่าถูกตัว ถูกคนหรือเปล่า มันก็ต้องใช้กลุ่มคนที่เป็นบุคคลที่สาม โดยแต่ละฝ่ายก็ไปคัดสรรคนของเขามาทำงานเพื่อบรรลุภารกิจ”
เขายังอธิบายว่า ผู้ก่อความไม่สงบมีหลายกลุ่ม บางกลุ่มใช้บุคคลที่สาม บางกลุ่มเราคุยโดยตรง ซึ่งเราคุยกับทั้งแกนนำองค์กรของเขาทั้งฝ่ายทหารและ ฝ่ายการเมือง แต่ความสัมฤทธิ์นั้นอยู่ที่ฝ่ายการเมืองเป็นหลัก ทั้งนี้ สองส่วนอาจจะขัดแย้งกัน เพราะเขาเกิดกลุ่มขึ้นใหม่ เขาก็จะประกาศตนว่าไม่เกี่ยวกับกลุ่มเดิมแล้วนะ เราต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ทราบ และพัฒนาการพูดคุยกันไป เป็นเรื่องปกติ ต้องเข้าใจว่าในเรื่องภาคใต้ต้องใช้เวลาระยะยาวในการแก้ไข แต่มันจะแก้ไปเป็นเปราะๆ สุดท้ายก็จะคลี่คลายไปเอง
ทหารพร้อม?
ข้อกังวลอีกประการคือแนวคิดการทำงานลักษณะนี้จะขัดต่อธรรมชาติในการทำงานของกองทัพที่มีบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มาตลอด ?
พล.ท.ภราดรปฏิเสธว่า คงไม่ใช่อย่างนั้น น้ำหนักของเรายังอยู่ที่ยุทธศาสตร์ตัวใหญ่ ที่ ศอ.บต.เป็นแกนอยู่นะ แต่กองทัพจะให้น้ำหนักในเรื่องการดูแลความสงบเรียบร้อย เพราะฉะนั้น 5 กลุ่มงานใหญ่เพื่อประเมินการขับเคลื่อน จะมีการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การพัฒนาคุณภาพชีวิต การอำนวยความยุติธรรม การสร้างความเข้าใจและสิทธิมนุษยชน การปรับสภาพแวดล้อมเพื่อลดความขัดแย้ง โดยกลุ่มแรกคือกระทรวงกลาโหมเป็นเจ้าภาพ กลุ่มที่สอง เป็นของมหาดไทย กลุ่มที่สาม เป็นของกระทรวงยุติธรรม กลุ่มที่สี่ เป็นเรี่องของกระทรวงการต่างประเทศ และ กลุ่มที่ห้า คือ สมช. ถ้ามองลงไปลึกลงไปจะเห็นว่า มิติความมั่นคงมีแค่กลุ่มเดียว ที่เหลือเป็นน้ำหนักงานด้านการพัฒนาทั้งนั้น
“ซึ่งน้ำหนักแล้ว ทหารเขาบอกอย่างเดียวว่าเขาพร้อมจะถอนออกทันที เมื่อฝ่ายพัฒนาเข้าไปทำงานได้ ทุกอย่างโอเคกัน ช่วยเหลือกันได้ ในด้านความมั่นคงเขาก็พยายามลดเปอร์เซ็นต์ของทหารลง โดยเอาทหารกับ อาสาสมัครเข้าไป เพราะฉะนั้น ภารกิจของทหาร ในการเฝ้าโรงเรียน รักษาความปลอดภัยครู รักษาความปลอดภัยวัด ทหารจะเริ่มถอยออกไปสู่ภารกิจที่เข้มข้นในบริเวณรอบนอกและป่า ภูเขามากขึ้น จริงๆ ทหารเขาจะถอยลงไปทีละเสต็ปอยู่แล้ว
"คำว่าถอนทหารนั้นต้องเข้าใจว่า ทหารที่มาจากกองทัพภาคอื่น เขาไม่ประสงค์ที่อยากจะอยู่ เพราะเขาเหนื่อยมาก เมื่อกลับไปที่ตั้งแทนที่เขาจะได้พัก ก็ต้องปฏิบัติภารกิจอย่างอื่นอีก รัฐบาลกำลังเร่งรัดบรรจุกำลังพงของกองพลทหารราบที่ 15 ที่เป็นทหารในพื้นที่โดยคัดเลือกจากคนในพื้นที่เป็นหลัก บรรยากาศตรงนี้จะแบ่งเบาซึ่งกันและกัน”
เปิดแผง ตท.14 “ดรีมทีม”ความมั่นคง!!
ถามว่า ที่ผ่านมาเหมือนรัฐบาลไม่กล้าแตะหรือรื้อโครงสร้างการบริหารงานภาคใต้ แต่ตอนนี้ เหมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กล้าที่จะส่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. และพล.ท.ภราดร มาดูงานเรื่องนี้โดยตรง?
พล.ท.ภราดร กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เน้นการทำงานเป็นทีม ไม่เน้นตัวบุคคล พอดีที่ผมอาจจะโชคดี มาลงตรงนี้ปั๊ป เสนาธิการทหารบกคนใหม่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ก็เป็นเพื่อนกัน ทหาร- ตำรวจ หน่วยข่าวต่างๆ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย หรือแม้ พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง (ตท.20 ) ซึ่งเป็นรุ่นน้อง มีความสัมพันธ์กัน มันก็จะทำให้การสื่อสาร การบริหารจัดการระหว่าง ศอ.บต. และกอ.รมน. ไปได้ราบรื่น เช่น ทวีเขาอาจจะติดขัดที่จะพูดกับฝ่ายทหาร นั่นก็คือแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งแม่ทัพฯ ท่านก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ของพี่เพียงปีเดียว แต่ท่าน พล.ท.กิตติ อินทศร รองแม่ทัพภาคที่ 4 (ที่คาดว่าจะได้รับการวางตัวเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ) ก็เป็นรุ่นเดียวกับผม รุ่นเดียวกับ พล.ท.จำลอง คุณสงค์ ทำให้บรรยากาศตรงนี้มีการทำงาน และ ร่วมมือกันตรงนี้ มันจะพูดกันง่าย พล.อ.นิพัทธ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม ก็รุ่นเดียวกัน พล.ท.อักษรา เกิดผล ว่าที่รองเสธ.ทบ. เดิมก็เป็น ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่5 ก็เพื่อนกันหมด
เขายอมรับว่า ตอนที่ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นนายกฯ และสถานการณ์ภาคใต้เริ่มกรุ่น ๆ เขาทำงานอยู่ สมช.มีหน่วยข่าวทราบดีว่าข้อมูลเป็นอย่างไร ตอนนั้นก็มีความกังวลอยู่บ้าง ตอนนั้นฝ่ายข่าว โดยเฉพาะทางตำรวจ เขาประเมินว่าเขาจะรับมือสถานการณ์ได้อยู่ มันก็ต้องเดินไปตามนั้น มันเป็นเรื่องตามนโยบายรัฐบาล แต่เมื่อมันเกิดไม่ตรงไปตามนั้นก็ต้องกลับมาแก้ ตอนนั้นผมเห็นว่ามันสุ่มเสี่ยง ถ้าเป็นลักษณะพัฒนาการค่อยๆ ขยับ มันก็ยังพอโอเค แต่พอดีมันขยับเร็ว เพราะท่านนายกฯทักษิณ ท่านเป็นคนทำงานเร็ว ตัดสินใจเร็ว ประกอบกับข้อมูลที่ได้มาด้วย
“ไม่ซ้ำรอยหรอก ผมไม่ต้องกลัว เพราะนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ท่านเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว ท่าน ก็มีความนุ่มนวล และเข้าใจกระบวนการ นโยบายตัวนี้ผ่านกระบวนการทางรัฐสภา อย่างไรมันต้องเดินไปตามนั้นและกระบวนการตรวจสอบเข้มข้นขึ้น ภาคประชาชน สภาที่ปรึกษา เขามีส่วนทั้งนั้นเลย จะไปผลีผลามไม่ได้ ...”
แง้มประตูสมช.-เปิดสัมพันธ์“ทักษิณ”
“ผมเป็นหลานท่าน ปรีดา พัฒนาถาบุตร พ่อขอผมเป็นนายทหารยศ พล.ท. (พล.ท.กอบกุล พัฒนถาบุตร) คุณแม่ผม คือ อาจารย์บัวทอง พัฒนถาบุตร ซึ่งพ่อผมเป็นพี่ชายของท่านปรีดา แต่พ่อผมเป็นเพื่อนกับนายเลิศ ชินวัตร ซึ่งเป็นพ่อท่านนายกฯทักษิณ แต่นายเลิศ มาเป็น ส.ส.พร้อมกับท่านปรีดา ซึ่งเป็นอาของผม นายเลิศลง ส.ส.สมัยเดียว แต่อาผมเป็น ส.ส. 7-8 สมัย และก็มีนายตำรวจติดตามที่ชือ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนนั้นอาผมเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัย มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชย์
งาน “ขาว-เทา-ดำ” ในสมช.
เราถามถึงเสียงบ่นจากฟากของเพื่อไทยที่บอกว่ารัฐบาลที่แล้วแขวน ทั้งที่เป็นลูกหม้อ สมช.?
พล.ท.ภราดร เล่าว่า “ ผมนี่เป็นนายทหารคนเดียวที่ทำงานที่ สมช. นานกว่าอดีตเลขา ฯสมช.ทุกคน ซึ่ง สมช. มีเลขาฯ 16 คน ผมเป็นคนที่ 17 เลขาฯ ที่เป็นทหารมา ไม่มีใครที่ทำงานที่ สมช.นานเท่าผม เพราะเราทำงานอยู่ข้างหลัง ในอดีตจะมีพลเรือนที่เป็นเลขาฯสมช.แค่ 4 นาย จาก 16 นาย และผมก็เป็นทหารคนเดียวที่ไปเรียน วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรในที่นั่งของ สมข. คราวนี้บางคนไม่เข้าใจคิดว่าผมลอยมา ความจริงมันไม่ใช่ ผมเห็นนายถวิล เปลี่ยนศรี ตั้งแต่ผมยศพันโท อยู่ที่ สมช. อยู่หน้าห้อง พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ปัจจุบันอาคาร สมช. ที่ทำงานอยู่ในทำเนียบฯ ตึกแดง ติดข้าง ครม. คนที่ประสานงบประมาณมาจัดทำคือผม สมัยนั้นเป็นพันเอก ตอนนั้นเลขาฯ คือ พล.อ.บุญศักดิ์ กำแหงฤทธิรงค์ นายกรัฐมนตรี คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และผมเป็นคนประสานงบประมาณ 100 กว่าล้านมาสร้างตึกนี้ เพียงแต่พอตึกนี้สร้างเสร็จ นายขจัดภัย บุรุษพัฒน์ ก็ขึ้นมาทำงานที่ตึกนี้ และ สมช.เดิมใช้เป็นกองหมายเลข และมาเปลี่ยนเป็นชื่อก็โดยผม ตำแหน่งที่เกิดการขยายตัวที่ได้เป็นซี 8 กันเยอะๆ มาเริ่ม ซี 9 คนที่อยู่เบื้องหลังการจัดการก็คือผม
“ฉะนั้น ผมถึงพร้อมและกล้า ถ้าเลขาฯสมช.คนไหนจะมาถามผมว่าใครรู้ดีกว่ากัน แต่ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ที่ทำประโยชน์ให้องค์กร ก็ทำกันไปเท่านั้นเอง เพราะว่าเราต้องเข้าใจว่า เลขาฯสมช. คุณสมบัติข้อแรกคือได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งผู้บังคับบัญชาคนนั้นก็คือ นายกรัฐมนตรี เพราะงานความมั่นคงมันเป็น ขาว เทา ดำ จากนั้นก็มาดูว่ามีความรู้ ความสามารถ เหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่ ก็ว่ากันไป แต่ตรงนี้ก็ต้องเป็นที่ยอมรับสภาพกันมา ทำไม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงต้องเอา พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา มาเป็นหละ และทำไมต้องเอา นต.ประสงค์ สุ่นศิริ มาหละ ทำไม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องเอา พล.อ.ศิรพงษ์ บุญพัฒน์ มาหละ ทำไมยุคหนึ่งต้องเอา พล.อ.วินัย ภัททิยกุล มาหละ ทำไม พล.อ.สุจินดา คราประยูง ต้องเอา พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ มาหละ ..มันเป็นเรื่องปกติ ...”
เราถามย้ำว่า ยอมรับว่างาน ขาว เทา ดำ เกี่ยวกับเรื่องการเมือง?
เขาตอบว่า เป็นเรื่องของความมั่นคง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็ต้องเข้าใจว่า พรบ.จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ข้าราชการระดับ 10 และ 11 เป็นเรื่องของการเมือง ต่ำจากนั้นมาเป็นเรื่องของฝ่ายประจำ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องพร้อมรับสภาพ เหมือนผม เหมือนตอนรัฐบาล อภิสิทธิ์มา ถามว่าผมมีปัญหากับท่านไหม ผมก็ไม่มีอะไร ท่านก็บอกว่าให้ไปเป็นที่ปรึกษาฯ ผมก็ไปเป็น ไม่เห็นมีอะไร เงินเดือนก็เท่าเดิม เพราะซี 10 กับ ซี 11 เราไปจินตนาการตัวเองไม่ได้ เรา จะมาคิดว่าเราอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นอำนาจของเขาที่ต้องการใช้คนที่ไว้วางใจ เขาก็เลือกกันมา ต่ำจากนั้นข้าราชการก็ว่ากันไป
เรากระเซ้าว่าน่าจะเป็นโฆษกกระทรวงกลาโหม ที่ไม่เคยแถลงข่าวเลย?
เขาเล่าว่า ตอนนั้นสมัย ท่านสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ และรมว.กลาโหม ผม ไม่พูด เพราะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองพอดี เป็นความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นตัวเราจะกลายเป็นปัจจัยหนึ่งของปัญหา เราถึงพูดไม่ได้ผมถึงได้มอบการบ้านให้ พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ รองโฆษกฯ ทำหน้าที่ไป โดยสถานการณ์ที่เป็นปัญหาแดง เหลือง และผมมีปูมหลังที่อาจจะมีผลกระทบก็ต้องวางโพสิชั่น ผมเองก็ทำหน้าที่แค่บริหารจัดการ
-ที่มาภาพ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
