2 มุมมองสุดขั้ว “ขัตติยา-นิชา” ต่อรายงาน คอป.
มุมมองต่างตั้ว จากคนใกล้ชิดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.2553 ต่อรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป.

การเมืองร้อนขึ้นมาอีกครั้งหลังวันที่ 17 ก.ย.55 ที่เกิด 2 เหตุการณ์ที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
นั่นคือ ศาลอาญานัดฟังคำสั่งคดีการเสียชีวิต “พัน คำกอง” แท็กซี่แนวร่วมคนเสื้อแดง จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองย่านราชปรารภปี 2553 ซึ่งคนเสื้อแดงพอใจเนื่องจากศาลชี้ว่า การตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
และวันเดียวกัน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) แถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ใช้เวลากว่า 2 ปีในการรวบรวมและค้นหาข้อเท็จจริง ผลสรุปที่คนเสื้อแดงไม่พอใจอย่างยิ่ง คือการระบุว่า
“พบหลักฐานว่าชายชุดดำโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารโดยอาวุธสงคราม และพบว่าการปฏิบัติการของคนชุดดำได้รับการสนับสนุนจากการ์ดนปช.บางคน ซึ่งคนชุดดำบางคนเป็นผู้ใกล้ชิด พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง”
ร้อนถึง “น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล” ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทายาท เสธ.แดง ผู้ถูกพาดพิงเต็มๆ จนต้องแถลงข่าวพร้อมฉีกรายงานคอป. เธอเปิดใจอีกครั้งกับ “ทีมข่าวอิศรา” ถึงเหตุผลในการออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านรายงานฉบับนี้
.................................
"เดียร์" ลูกเสธ. แดง ซัดคอป.แต่งเรื่องเอง โยนชุดดำฝ่ายทหาร
@ ทำไมจึงไม่ยอมรับกับผลรายงานของ คอป.
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ ท่านสมชาย หอมละออ หนึ่งในกรรมการ คอป.เป็นคนที่เรียกไปสอบถามข้อมูลข้อเท็จจริง ซึ่งเราเองได้ให้ข้อมูลเต็มที่ รวมถึงการเปิดคลิปในช่วงวินาที่ที่คุณพ่อถูกยิง แต่สิ่งที่เราพูดไปกลับไม่ได้อยู่ในรายงานฉบับนี้เลย และในวันที่รายงาน คอป.ออกมาเมื่อวันที่ 17 ก.ย.นั้น เราเองก็เริ่มไม่สบายใจ เพราะเนื้อหาคือมีการโยนบาปให้ชายชุดดำเกี่ยวโยงและเกี่ยวพันกับ เสธ.แดง ฉะนั้นเราต้องเอารายละเอียดของ คอป.ทั้งหมดเกือบ 300 หน้า มาอ่านอย่างละเอียดเดี๋ยวนั้น และเห็นว่ารายงาน คอป. โดยท่านสมชายบอกในช่วงที่มีการแถลงข่าวว่า รายงานของเขาไม่ใช่ข้อเท็จจริงสุดท้าย แต่เป็นข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
แต่เมื่อเราได้อ่านรายงานของ คอป.แล้วรู้ทันทีว่าเนื้อหาต่างๆ เป็นการอ้างอิงจากพยานหลักฐานที่กล่าวอ้างลอยๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปฏิปักษ์ต่อฝั่งเราทั้งสิ้น ในส่วนของรายละเอียดเนื้อหาก็พยายามเอาเหตุการณ์หลายเหตุการณ์มาผูกกัน จากนั้นก็ขมวดท้ายที่คำว่า "เราจึงมีความเชื่อได้ว่า…จึงน่าเชื่อถือได้ว่า…มีความเป็นไปได้ว่า" ซึ่งคำเหล่านี้ไม่ควรที่จะมาอยู่ในรายงานฉบับนี้ เพราะรายงานฉบับนี้เกิดมาจากนักวิชาการดังๆ ที่มีความรู้ความสามารถ
อยากตั้งข้อสังเกตว่าคอป.ชุดนี้คลอดมาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งรายชื่อคณะกรรมการหลายท่านเกือบทั้งหมดได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายืนอยู่ตรงข้ามกลุ่มคนเสื้อแดง ฉะนั้นแน่นอนว่าความคิดในการทำรายงานฉบับนี้ออกมาไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ ถ้าคุณมีความคิดที่อยู่ตรงข้ามกับอีกกลุ่มหนึ่งผลที่ออกมาจะแฝงไปด้วยอคติ
@ ทำไมไม่เชื่อมั่นในตัว คอป. ทั้งที่กรรมการทำงานมา 2 ปีแล้ว
ความเชื่อมั่นในตัวคณะกรรมการมันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อคณะกรรมการ คอป.ชุดนี้จัดทำรายงานฉบับนี้จึงไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเนื้อหาที่ออกมาจึงเป็นลักษณะนี้ แต่อยากจะบอกว่าเนื้อหาที่ออกมาถูกกระจายเผยแพร่ไปทั่วประเทศ ฉะนั้นเมื่อคนทำไม่มีความเป็นกลางและรายงานออกมารูปแบบนี้แล้วจะทำให้สังคมเอนเอียงไปตามคุณได้ เหมือน "นิยาย" ที่เมื่อใครอ่านแล้วก็อาจคล้อยตามไปได้
ที่สำคัญอย่าลืมว่ารายงานของ คอป.ไม่ได้มีผลทางกฎหมายอะไรเลย เพราะการที่พยานมาให้ข้อมูลนั้น ไม่ใช่เป็นการให้ปากคำการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่พยานจะให้การต้องให้คำสาบานก่อน หรือมีการตั้งกฎระเบียบว่าหากให้การเท็จจะมีโทษ แต่การให้ข้อมูลใน คอป.นั้นคือการให้ข้อมูลนักวิชาการที่ไม่มีผลตามกฎหมายและนักวิชาการก็ไม่พนักงานสอบสวนตามกฎหมาย ดังนั้น คนให้การอาจให้การอะไรออกมาก็ได้ หรือไม่นักวิชาการอาจแต่งเรื่องอะไรออกมาก็ได้ เพราะฉะนั้นจะบอกว่ารายงาน คอป.มีแต่เรื่องเท็จๆ ก็เป็นได้เหมือนกัน รายงานฉบับนี้เป็นการเอาเงินงบประมาณกว่า 70 ล้านทำหนังสือรายงานออกมาเล่มหนึ่ง โดยเป็นการโยนความผิดให้กับคนกลุ่มหนึ่งหรือคนๆ หนึ่ง
@ คิดอย่างไรกับการที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ความสำคัญและความเชื่อถือรายงานของ คอป.
ยูเอ็นอาจให้ความสำคัญเพราะรายงานที่ออกมานั้นมาจากนักวิชาการ แต่ยูเอ็นหรือองค์กรอื่นๆต้อง
ดู ด้วยว่าพยานหลักฐานที่รายงานฉบับนี้นำมาอ้างอิง ยังมีข้อมูลอื่นที่ขัดแย้งกับที่เขานำมาอ้างอิงหรือไม่ เช่น ภาพถ่ายของชายชุดดำ ที่อยู่ปะปนกับเจ้าหน้าที่ คุณได้เห็นหรือไม่ ได้มีการพิจารณาหลักฐานในส่วนนี้ไว้ในรายงานบ้างหรือไม่ ฉะนั้นยูเอ็นหรือองค์อื่นๆอาจรับทราบข้อมูลข้างเดียวโดยที่ ไม่เห็นข้อมูลหลักฐานของอีกฝั่งหนึ่ง
@ จุดอ่อนที่สุดของรายงานฉบับนี้นี้คืออะไร
เนื้อหาของรายงาน คอป.สะท้อนให้เห็นว่าเขายังรับฟังหลักฐานแค่ด้านเดียว และเป็นการกล่าวอ้างพยานหลักฐานลอยๆ ขึ้นมา ซึ่งในทางกฎหมายผลสรุปของรายงานฉบับนี้มีน้ำหนักไม่เพียงพอ รวมถึงคนที่ทำรายงานไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการสอบสวน อยากจะเรียกใครก็เรียกมาคนไหนที่รู้ว่าจะให้การเป็นประโยชน์ก็เรียกมา และใส่ข้อมูลลงไปในรายงาน แต่คนไหนที่เรียกมาให้การไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่นำไปใส่ในรายงาน
@ ในฐานะ ที่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในช่วงหาเสียงของพรรคได้นำเสนอย่างชัดเจนว่าพร้อมทีจะสร้างความปรองดอง และนโยบายที่รัฐบาลที่แถลงต่อสภาก็ระบุชัดเจนว่าจะยึดแนวทางของ คอป. คิดว่ารัฐบาลควรจะทำอย่างไรต่อไป
เราเริ่มการปรองดองตั้งแต่แรกแล้วเพราะ คอป.ถูกตั้งขึ้นสมัยอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ แต่เมื่อเป็นนายกฯยิ่งลักษณ์ เข้ามาบริหารประเทศแทนเราเองก็ไม่ได้ยุบ คอป.ทิ้ง ทั้งๆ ที่เรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนตัวคณะกรรมได้ เมื่อรายงานของ คอป.ออกมา เราเองก็อยากจะปรองดอง แต่เมื่ออ่านเนื้อหาแล้วมันเป็นสิ่งที่แสดงอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ได้เห็นอีกด้าน หรือไม่ได้นำเสนออีกมิติหนึ่ง เป็นแบบนี้แล้วจะปรองดองได้อย่างไร ทางรัฐบาลเราไว้ใจ คอป.ตั้งแต่แรกจึงไม่ยุบ คอป.ทิ้ง แต่เมื่อเราเอาให้ คอป.ทำงาน ก็ต้องทำตัวให้เป็นกลางด้วย อย่ามีอคติ
@ คิดว่า ครม.ควรจะรับรายงานของคอป.มาพิจารณาต่อยอดหรือไม่
เราได้มีจดหมายเปิดผนึกส่งถึงนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงมหาดไทยในฐานะ ประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ. ปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) โดยระบุว่า อยากให้พิจารณารายงานของ คอป.ถึงคำสั่งของ ศอฉ. กรณีของชายชุดดำหรือภาพถ่าย หรือข่าวต่างๆ รวมถึงพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องและอยู่ในเหตุการณ์ในการชุมนุม ทางการเมืองในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ด้วย และนำข้อมูลส่วนนี้ไปประกอบการพิจารณารายงานของ ปคอป. รวมทั้งหนังสือรายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ที่เป็นข้อมูลบอกเล่ามาจากพยานที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ มีชื่อนามสกุล ประวัติทุกอย่าง ซึ่งต่างจากรายงานของ คอป.ที่บอกเพียงแค่ว่าเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีชื่อเสียง หรือประวัติ อะไร
@ หลังจากที่รายงานของ คอป.ถูกเผยแพร่ ก็เริ่มมีมวลชนคนเสื้อแดงเริ่มออกมาเคลื่อนไหว เป็นเพราะเกมการเมืองหรือไม่
การที่มวลชนคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวเพราะว่าทุกคนเขายอมไม่ได้ เนื่องจากมวลชนคนเสื้อแดงคือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผิดกับคณะกรรมการ คอป.นั่งดูเหตุการณ์ผ่านทีวีที่บ้าน ไม่ได้มีใครอยู่ในสถานที่จริง เพราะฉะนั้นเขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าความจริงเกิดอะไรขึ้น
@ ยอมรับหรือไม่ว่าไม่ว่าใครจะทำหรือนำเสนอข้อเท็จจริงออกมาก็ไม่ถูกใจใครทั้งหมด
ก็ใช่ เพราะยังไงก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นรายงานของ ศปช.หรือ คอป. ก็ต้องมีความเป็นกลางและชั่งน้ำหนักจากพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย
@ รายงาน คอป.ที่ออกมาจะทำให้บรรยากาศสงบลง หรือเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่หรือไม่
หากทุกอย่างที่ปรากฏออกมาไม่มีความเป็นธรรม คงปฏิเสธไม่ได้ในเรื่องของความขัดแย้ง ฉะนั้นเราต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอีก ทุกคนมุ่งหน้าไปสู่ความปรองดองอยู่แล้ว แต่มันจะปรองดองไม่ได้เลยถ้ารายงานของ คอป.ยังออกมาในรูปแบบนี้ ทางออกที่ดีที่สุด เมื่อตอนนี้ คอป.ส่งเรื่องให้รัฐบาลแล้วเราได้แต่หวังว่าครม.และ ปคอป. จะพิจารณาถึงข้อมูลอีกฝั่งหนึ่งหรือพิจารณาข้อมูลจากรายงานของ ศปช.ประกบไปด้วย
@ ปคอป.ยังนิ่งไม่มีท่าทีหรือ แสดงแนวทางการดำเนินงานต่ออย่างไร
ต้องเข้าใจว่ารายงานของ คอป.เพิ่งออกมาได้ไม่นาน ฉะนั้นคงต้องใช้เวลาศึกษารายงานของ คอป.ก่อน แล้วตรงไหนจุดไหนที่มีหลักฐานอีกฝ่ายมายันว่ารายงานของ คอป.ไม่ถูกต้อง และเราก็เชื่อมั่นในการทำงานของ ปคอป.เพราะว่าเป็นคณะทำงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อติดตามการทำงานของ คอป. เพราะฉะนั้นเมื่อรายงานของ คอป.ถูกกระแสต่อต้านเยอะจากอีกฝั่งหนึ่ง และขณะเดียวกันอีกฝางหนึ่งทางการเมืองก็ถูกใจ ดังนั้นจึงอยากให้ ปคอป และรัฐบาลให้ความเป็นธรรม โดยพิจารณาจากหลักฐานอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกอ้างถึงในรายงานของ คอป. เพียงอย่างเดียว
@ คิดว่ารายงานของ คอป.ถูกนำมาใช้นำไปอ้างอิงในการต่อสู้คดีของฝ่ายต่างๆ หรือไม่
คงเป็นเช่นนั้นด้วย เพราะอย่างที่บอกว่ารายงานฉบับนี้ออกมาในวันที่ศาลมีคำสั่งในกรณีของนายพัน คำกอง ซึ่งเรารับรู้มาโดยตลอดว่าศาลคือที่พึ่งของประชาชน และเมื่อศาลมีคำตัดสินออกมาว่านายพัน คำกอง เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่จากนั้นไม่นานคือช่วงบ่ายของวันเดียวกันก็มีรายงานของ คอป.ออกมา ซึ่งเหมือนเป็นคำค้านของศาล นี่คือข้อสังเกตว่า คอป.ต้องการอะไร หรือต้องการดิสเครดิตศาลหรือไม่
@ การต่อต้านรายงานของ คอป. ด้วยวิธีการแถลงข่าวฉีกรายงาน คิดว่าแรงไปหรือไม่
ไม่แรง เพราะก่อนหน้านี้ ส.ส.ประชาธิปัตย์เองก็เคยฉีกเอกสารในสภาเช่นกัน แต่การฉีกเอกสารรายงานนั้นเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่าเรารับไม่ได้กับรายงานฉบับนี้ และเราก็เสียดายเงินภาษีของประชานที่หมดไปกับการทำงานรายงานฉบับนี้ ไม่อยากให้เอาภาษีของประชาชนมาถลุงเล่น หรือการทำรายงานที่ออกมาโยนความผิดให้กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ การทำรายงาน คอป.ออกมาคุ้มค่าเงินภาษีประชาชนคือคนที่ทำออกมาต้องทำด้วยความเป็นกลาง
สุดท้ายแล้วรายงานที่ออกมา พ่อเดียร์ได้รับความผิดเต็มๆ ถ้าเป็นการรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วพ่อ จะมีโอกาสที่จะได้มาแก้ตัว เพราะฉะนั้นเมื่อพ่อไม่สามารถออกมาแก้ตัวได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เป็นรายงานข้อเท็จจริงในเมื่อกระแสสังคมยุคนี้มีความต้องการที่จะรับฟังความสองด้าน เพื่อให้มีความรู้ ความคิดเห็น ที่รอบด้าน รวมถึงความรู้สึกเห็นที่แตกต่าง
.................................
"นิชา" ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า จี้นายกแสดงจุดยืนให้ชัด
นั่นเป็นความเห็นของทายาท เสธ.แดง ที่ถูกพาดพิงว่า เกี่ยวข้องกับชายชุดดำ หันมาดูความเห็นจาก ภรรยานายทหารที่เสียชีวิตจากยิงถล่มของชายชุดดำ “นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม” ภริยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารที่ถูกโจมตีจากการกระชับพื้นที่ บริเวณสี่แยกคอกวัว ตามรายงาน คอป. ที่ระบุไว้
เมื่อรายงาน คอป.ออกมาจึงไม่แปลกที่นิชา ผู้เป็นภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้าจะเห็นด้วย และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน
@ ผลการสรุปรายงานของ คอป. ที่ออกมา คิดว่าเป็นอย่างไร รับได้หรือไม่
เป็นธรรมดาที่ต้องมีทั้งคนรับได้และรับไม่ได้ ในส่วนดิฉันเอง มีจุดยืนมาตลอดว่าการปรองดองต้องเริ่มต้นจากการค้นหาข้อเท็จจริงเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงพอใจที่มีรายงานออกมาปรากฏแก่สาธารณชน เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ควรจะนำไปสู่กระบวนการปรองดอง ส่วนสาระเนื้อหานั้น ย่อมไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมและผู้เกี่ยวข้องต้องมาช่วยกันทำความจริงให้สมบูรณ์มากขึ้น บนพื้นฐานของการพูดคุยกัน ด้วยเหตุผล ด้วยพยานหลักฐาน ไม่ใช่ใช้อารมณ์ อคติ หรือความรุนแรง
@ ผลตรวจสอบในส่วนของกองทัพ รัฐบาลและ ชายชุดดำ มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
เรื่องการมีชายชุดดำ ดูจะเป็นประเด็นที่ได้รับความสำคัญ แต่สำหรับตัวเอง ไม่ได้เห็นว่าเป็นประเด็นใหม่ เพราะเป็นเรื่องที่ปรากฏชัดเจนอยู่แล้ว ด้วยพยานหลักฐานภาพที่เผยแพร่ไปทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็เคยแถลงไว้เองว่า “พล.อ.ร่มเกล้าและทหารอีก 4 นายเสียชีวิตจากการกระทำของกองกำลังชายชุดดำซึ่งเป็นกองกำลังที่สนับสนุน นปช. เพียงแต่ยังไม่สามารถชี้ชัดว่ากองกำลังชุดดำเป็นใคร” อันนี้เป็นข่าวลงในหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในช่วงกลางปี 2554
หลังจากที่ช่วงต้นปี 2554 ดีเอสไอเคยบอกว่าเสียชีวิตจากการกระทำของ นปช. ดิฉันจึงประหลาดใจมากที่ภายหลัง ดีเอสไอออกมาบอกว่าไม่มีชายชุดดำ และเมื่อรายงานของ คอป.ฉบับนี้ออกมายืนยันว่า มีชายชุดดำจากพยานหลักฐาน ก็ได้เกิดเป็นกระแสโต้แย้งในเรื่องนี้ ซึ่งความจริงแล้ว ไม่น่าจะมีใครยืนยันได้ว่า “ไม่มีชายชุดดำ” หากจะยืนยันได้ก็น่าจะเพียงพิสูจน์ยืนยันว่าฝ่ายของตนไม่ได้เป็นชายชุดดำหรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเท่านั้น
ในส่วนตัวดิฉันเอง จึงค่อนข้างผิดหวังที่รายงานไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า ชายชุดดำเป็นใคร ใครคือผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง และแกนนำ นปช.คนไหนบ้างที่ คอป.บอกว่าให้การสนับสนุนชายชุดดำ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยอยู่ในรายงาน คอป.เลย และเมื่อพูดถึงประเด็นด้านการให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ก็รู้สึกว่าฝ่ายทหารเจ้าหน้าที่รัฐ ก็พึงมีสิทธิได้รับความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตของตนเองเหมือนกัน
@ รัฐบาลหรือ ปคอป.ควรที่จะต้องสานงานนี้ต่ออย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ถ้าพิจารณาจากขั้นตอนปรองดองที่ควรเป็นคือเริ่มต้นจาก 1.การค้นหาข้อเท็จจริง 2.การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 3.การเยียวยา 4.การขอโทษ/ให้อภัยหรือนิรโทษกรรม ขณะนี้ขั้นตอนแรกได้เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อยุติ ดิฉันคิดว่าถึงเวลาที่ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะต้องแสดงจุดยืนต่อรายงานฉบับนี้อย่างชัดเจนว่าจะยอมรับหรือไม่ และจะนำไปใช้ในขอบเขตอย่างไร
ในส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานที่ยังมีการโต้แย้งกันอยู่นั้น ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่าย นปช. เจ้าหน้าที่รัฐ และฝ่ายอื่นๆ ที่ถูกพาดพิง ได้มีโอกาสชี้แจงแสดงข้อเท็จจริง พิสูจน์กันด้วยพยานหลักฐาน แสดงให้ คอป.และสังคมรับฟังร่วมกัน บนพื้นฐานของเหตุผลข้อเท็จจริง แต่การที่จะดำเนินการให้มีเวทีหรือช่องทางลักษณะนี้ได้ จำเป็นต้องใช้ศักยภาพของรัฐบาลที่จะช่วยประกันความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าที่จะนำไปสู่ความรุนแรง และการเปิดเวทีหรือช่องทางชี้แจงนี้ ก็ควรต้องรีบทำ ก่อนที่กระแสของอารมณ์ต่อต้านจะยิ่งขยายตัวลุกลามรุนแรง จนจุดติดเป็นกระแสความขัดแย้งใหม่ของสังคมไทยอีกครั้ง
นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับข้อเสนอของ คอป. โดยเฉพาะการขอให้รัฐสร้างความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ว่าจะทำหน้าที่อย่างอิสระ เป็นกลางและไม่ถูกแทรกแซง ซึ่งในประเด็นนี้หากท่านนายกรัฐมนตรีลงมาดูแลปัญหานี้ด้วยตนเองอย่างจริงจัง ก็คิดว่าจะทำให้คู่กรณีมีความเชื่อมั่นได้มากยิ่งขึ้น หลังจากที่เกิดวิกฤติเสียศรัทธาอย่างหนักต่อหน่วยงานยุติธรรมของรัฐในขณะนี้ มันเป็นองค์ประกอบส่วนที่สองของขั้นตอนปรองดองที่มีความสำคัญข้ามไปไม่ได้
@ เหตุใดรายงานของ คอป. กลุ่มขั้วการเมืองถึงมีความเห็นที่แตกต่างกัน
เพราะสังคมอยู่บนพื้นฐานของการเอาชนะ ยึดมั่นว่าฝ่ายตนถูก และตั้งธงว่าต้องเป็นไปตามเส้นทางเป้าหมายที่ฝ่ายตนวางเอาไว้ เพียงแค่รายงานฉบับนี้จึงถือเป็นการแพ้-ชนะกันแล้ว ทั้งที่มันเป็นเพียง “ข้อเท็จจริง” ซึ่งยังไม่มีการตัดสินในกระบวนการยุติธรรม ยังไม่ได้บอกบทสรุปหรือจุดจบของใคร เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่จะให้สังคมใช้เป็นเครื่องมือทำหน้าที่ต่อไป และถ้าเราทำใจให้เป็นกลางได้ ก็จะเห็นว่า “ความจริง” ก็คือความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ความจริงที่เราไม่อยากยอมรับก็เลยต่อต้านและทำใจไม่ได้ที่จะยอมรับ
อย่างไรก็ดี ในส่วนข้อเท็จจริงที่ยังไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันทำให้มันถูกต้อง เพื่อสังคมเราจะได้ไม่เดินหลงทาง ตัดสินใจผิดบนพื้นฐานข้อมูลที่ผิด ในเส้นทางปรองดองที่จะต้องก้าวเดินกันต่อไป
@ ผลของ คอป.จะทำให้เกิดความปรองดองได้หรือไม่ หรือจะเป็นชนวนของความขัดแย้งให้ปะทุขึ้นมาอีกเพราะเหตุใด
ลำพังผลของ คอป.เอง ไม่มีวันนำไปสู่ความปรองดองได้เลย หากปราศจากซึ่งการยอมรับของคู่กรณีทุกฝ่ายและปราศจากซึ่งความจริงใจของรัฐบาล ที่จะผลักดันการปรองดองสมานฉันท์เป็นวาระแห่งชาติตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ หากรัฐบาลมีเจตนาและความตั้งใจจริงที่จะประสานให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม หยุดแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ก็เชื่อว่าอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลจะทำได้อย่างแน่นอน
แต่ในทางตรงกันข้าม ผลของ คอป.ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกนำไปเป็นชนวนของความขัดแย้งรุนแรงอย่างง่ายดายได้เช่นกัน หากรัฐบาลปล่อยปัญหานี้ไว้ให้เรื้อรัง และไม่สนใจที่จะจัดการกับความเคลือบแคลงใจของฝ่ายต่างๆ ที่เป็นคู่กรณีขัดแย้งของสังคมได้
@ ทางออกของสังคมที่ดีควรจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าสังคมหมายถึงประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของประเทศ ก็ควรตระหนักว่าความขัดแย้งทางการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป เพราะความรุนแรงทางการเมืองส่งผลกระทบทั้งต่อความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของเราเอง ส่งผลต่อความชะงักงันในการพัฒนาประเทศ ที่สำคัญคือความเสื่อมถอยของศีลธรรมเป็นผลกระทบที่น่ากลัวที่สุด จึงไม่ควรวางเฉยดูดายต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ดิฉันเชื่อว่าหากเรามีสำนึกที่อยากเห็นสังคมสงบสุข เราก็จะวางตัวและบทบาทในทางสร้างสรรค์แก่สังคมได้เอง อย่างน้อยที่สุด เราควรช่วยกันส่งเสริมบรรยากาศของสังคมที่ไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ช่วยกันสร้างสังคมที่มีพื้นฐานอยู่บนความจริง เหตุผล และความเป็นธรรม
@ ยังเชื่อเรื่องของความเป็นกลางหรือไม่
ความเป็นกลางในยุคนี้วัดยาก เพราะอยู่ในยุคที่มีความแตกต่างทางความคิดสูง ความเป็นกลางของเราจึงอาจไม่ใช่ความเป็นกลางของคนอื่น และความเป็นกลางของคนอื่นก็ไม่ใช่ความเป็นกลางสำหรับเรา จึงคาดหวังยาก แต่ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องยึดมั่นแสวงหาความยุติธรรม และสำนึกที่อยู่ในศีลธรรม จะเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนกว่า และไม่ว่าจะได้มาช้า-เร็ว หรืออาจไม่ได้เลยในชาตินี้ แต่ตัวเองก็เชื่อว่าความยุติธรรมและศีลธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และไม่อยากให้หายไปจากสังคมไทย
.................................
:::เรื่องที่เกี่ยวข้อง:::
- อ่านเรื่องชายชุดดำที่โยง เสธ.แดง ในรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. ทำให้ฝ่าย นปช.ไม่พอใจ คลิก
- ดูรายงานของ ศปช.ที่ยอมรับว่ามีชายชุดดำ แต่เป็นไปอย่างที่ฝ่ายเสื้อแดงมักอ้าง คือทหารยิงกันเอง คลิก
