“อ.ยิ้ม” ไขคำตอบ ทำไมคนบางกลุ่มจึงไม่เชื่อ “ความจริง ปี 53” ฉบับ นปช.
EXCLUSIVE! เรียนลัดวิชาประวัติศาสตร์กับ “อ.ยิ้ม สุธาชัย” ผู้ชี้จุดน่าสงสัยในรายงานของ คอป. และไขคำตอบ ทำไมคนบางส่วนจึงไม่เชื่อ “ชุดความจริง” ที่แกนนำ นปช.เล่า ถึงเหตุการณ์ปี 2553 ...ทำไม?

ในทางวิชาการ ชื่อ “นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ” หรือ “อ.ยิ้ม” แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการยอมรับอย่างสูงว่าเป็นนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่ทำงานอย่างจริงจังเข้มข้น โดยมีวิทยานิพนธ์เรื่อง “แผนชิงชาติไทย ว่าด้วยรัฐ และการต่อต้านรัฐสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม:ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง (พ.ศ. 2491-2500)” เป็นผลงานชิ้นสำคัญ และได้รับความชื่นชมจากนักประวัติศาสตร์แถวหน้าของเมืองไทย อย่าง “อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ”
แต่ในทางการเมือง “อ.ยิ้ม” ถูกจัดพวกให้อยู่ในฝั่งคนเสื้อแดง ซึ่งเขาเองก็ยอมรับ ดังคำพูดว่า “น้ำหนักของผมอาจจะไม่เท่า อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ หรือไม่เท่า อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แต่พูดกว้างๆ ก็อยู่ข้างนี้แหล่ะ ผมเหมือน อ.ธิดา มากกว่าคุณสนธิ ลิ้มทองกุล นี่เป็นเรื่องธรรมดา คือผมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับ อ.ธิดา 100% แต่ไม่มีทางเห็นด้วยกับคุณสนธิสัก %”
ช่วงเหตุการณ์ นปช.ชุมนุมปี 2553 ด้วยบทบาทในฐานะ 1 ในผู้นำทางความคิดของ นปช. ไม่เพียง “อ.ยิ้ม” จะถูกใส่ชื่อลงไปใน “ผังล้มเจ้า” ที่จัดทำโดย ศอฉ.
หลังสลายการชุมนุม เขายังถูกจับไปขังลืมที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จ.สระบุรี เป็นเวลา 8 วัน
“ทีมข่าวอิศรา” ไปนั่งคุยกับ อ.ยิ้ม เพื่อเรียนรู้วิธีมองประวัติศาสตร์แบบนักประวัติศาสตร์ รวมถึงวิธีชั่งน้ำหนัก “เรื่องเล่า” ของเหตุการณ์ปี 2553 ที่กลายเป็นข้อถกเถียงอยู่ในสังคมปัจจุบัน
โดยเขาได้ชี้บกพร่องของรายงานฉบับสมบูรณ์ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) พร้อมไขคำตอบว่า ทำไมคนบางส่วนไม่เชื่อ "ชุดความจริง" ฉบับ นปช. กลับไปเชื่อ "ชุดความจริง" ฉบับสุเทพ ที่ว่าด้วย "ชายชุดดำ" ออกอาละวาดฆ่าคนตายเป็นเบือ เมื่อ 2 ปีก่อน...
.............................................
ในทางประวัติศาสตร์มีความจริงแท้อยู่ไหม หรือแล้วแต่ชุดที่คนยึดถือ
ถ้าเราพูดถึงความจริงว่าเหตุการณ์นั้นมันเกิดขื้นจริงไหม มันอาจจะได้อยู่ เช่น มีเหตุการณ์นึงเกิดขึ้น สมมุติ 6 ตุลาฯ (ปี 2519) นักศึกษาชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตำรวจตระเวนชายแดนมาล้อมแล้วยิงกระทั่ง นักศึกษาตาย แต่ปัญหาของมันคือตัวเหตุการณ์จะไปสู่ความรับรู้ของคนอื่นๆ มันต้องผ่านการถ่ายทอด หรือการเล่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมที่จะเกิดการ “ตีความ” โดยผู้ถ่ายทอด ในเหตุการณ์เดียวกัน ในความจริง 1 ชุด มันจึงถูกอธิบายได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวกัน
ด้วยการตีความทำให้ความจริงมีหลายชุด
หรือแล้วแต่ทัศนะของผู้มองเหตุการณ์นั้น ตัวอย่างง่ายๆ ที่ผมยกเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ เรารู้ว่ามีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นจริง แต่ถ้าเราเป็นคนรุ่นหลัง ถ้าไปถาม นักศึกษาก็จะได้ความจริงชุดหนึ่ง ถ้าไปถามกระทิงแดง ก็จะได้อีกแบบนึง
ดังนั้นตัวแหตุการณ์แม้จะเหมือนกัน แต่การตีความ หรือการเล่า มันจะไม่เหมือนกัน ยิ่งกว่านั้น เวลาเราพูดถึงประวัติศาสตร์โดยทั่วไป มันไม่ใช่แค่การเล่าเหตุการณ์ แต่คือการ “ตอบคำถาม” ด้วยว่าทำไมเหตุการณ์นั้นจึงเกิดขึ้น เวลาที่เขาบอกว่า ทำไมเหตุการณ์ใดถึงเกิดขึ้น หมายความว่าเรากำลังเชื่อม 2 เหตุการณ์เข้าด้วยกัน คือเหตุการณ์ a กับ b แต่การเชื่อม มันไม่มีใครบอกหรอกว่าเชื่อมถูกหรือผิด สมมุติเราบอกว่า ยุงชุมเพราะน้ำเน่า เรากำลังบอกว่าน้ำเน่าเป็นต้นเหตุของยุงชุม มันอาจจะใช่ก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่ เพราะมีตัวแปรอื่นอีกเยอะแยะ
ผมคิดว่าการเชื่อมโยงเหตุการณ์มันเป็นเสน่ห์ของประวัติศาสตร์ ทำให้ประวัติศาสตร์ไม่ตายตัว เช่นเราบอกว่า ทำไมเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ถึงเกิดขึ้น เราอาจจะบอกว่ามาจากปัจจัยทางความคิด มีความไม่ยอมรับสมบูรณาญาสิทธิ์ต้องการประชาธิปไตย หรือเราจะบอกว่า เพราะเศรษฐกิจตกต่ำรัฐบาลสมบูรณาณาสิทธิ์แก้ไม่ได้เลยต้องเปลี่ยนแปลง ถ้ายึดอันแรก เราโยงเหตุการณ์ปี 2475 กับปัจจัยทางความคิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ถ้ายึดอันที่สอง เราโยงปัญหาเศรษฐกิจก็ต้องไปดูเรื่องเศรษฐกิจ จะถามว่าใครถูกใครผิด บางทีมันไม่แน่
เวลาเราพูดถึงความจริง มันจึงไม่ใช่ความจริงแบนๆ ระนาบเดียว เพราะเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว มันจะถูกอธิบาย ถูกตีความ หรือถูกให้ค่าอย่างไร ซึ่งมันลำบากตรงไม่มีอะไรผิดอะไรถูก แต่การตีความ มันก็มีกรอบของมันอยู่ เพราะที่เราคิดว่ามันถูกคือมันมี “คำอธิบาย” ที่น่าเชื่อ แต่บางทีถ้าโยงอะไรที่มันไม่ถูก หรือโยงอะไรที่มันไม่น่าเชื่อ มันอธิบายไม่ได้ เวลาที่เราดูว่าการโยงเหตุการณ์มันไม่ใช่จะใช่ ก็เพราะมันอธิบายไม่ได้ เช่นเราบอกว่าภาษาไทยวิบัติเป็นความผิดของพ่อขุนรามคำแหง ถามว่าโยงได้ไหม โยงได้ แต่มันไม่น่าจะใช่ เพราะมันอธิบายไม่ได้
แต่ถ้าหาหลักฐานมาเชื่อมโยง 2 เหตุการณ์นั้นได้ ก็อธิบายเช่นนี้ได้
ก็เว้นแต่เราหาหลักฐานมาแสดงว่าสมัยพ่อขุนรามคำแหงอาจจะภาษาวิบัติมาก่อนอันนั้นอีกแบบหนึ่ง (หัวเราะ)
ดังนั้น เวลาที่เราคิดว่าการเชื่อมโยงเหตุการณ์นี้มันไม่น่าจะใช่ บางทีมันไม่เกี่ยวกับความจริง แต่เป็นเพราะมันอธิบายไม่ได้ หรือมันอธิบายแล้วมันไม่น่าเชื่อ เรากลับมาเรื่องเหตุการณ์ปี 2553 ที่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่งทหารเข้ามาในพระนครเพื่อสลายการชุมนุม นปช.แล้วก็มีคนตาย 92 ศพ ปัญหาหลักของมัน ถ้าถามความจริงของเหตุการณ์ชุดนึง มันก็มีอยู่แล้ว เช่น การที่รัฐบาลส่งทหารเข้ามา รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการยิงกระสุนจริงแล้วมีคนตาย ฉะนั้นความจริงชุดต่างๆ มันจะถูกอธิบายอย่างไร
ผมคิดว่า ปัญหาหลักที่เรารู้สึกว่าไม่จริง เป็นเพราะมันอธิบายแล้วไม่น่าเชื่อ สมมุติเราเชื่อที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณอธิบาย เขาจะเล่าว่ารัฐบาลส่งทหารเข้ามาจริง แต่ทหารไม่ได้ยิงใครตายเลยสักคนเดียว คนเสื้อแดงมี “คนชุดดำ” โผล่เข้ามายิงยั่วยุ แล้วคนเสื้อแดงที่ตายจำนวนมากเพราะถูกคนชุดดำยิง หลังจากนั้นคนชุดดำก็ไปเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วก็นำอาวุธไปฝังที่วัดปทุมวนาราม แล้วก็ยิงคนตายไปอีก 6 ศพ หลังจากนั้น คนชุดดำก็หายสาบสูญไปถึงทุกวันนี้ ปัญหาหลักของมัน ไม่ได้อยู่ที่ความจริง แต่อยู่ที่ “โครงเรื่อง”
มองว่าโครงเรื่องของคุณสุเทพไม่น่าเชื่อ เพราะ “คนชุดดำ” ทำทุกอย่างเป็นซุปเปอร์แมน
ใช่ ที่สำคัญคือ คนชุดดำโผล่มาแค่ 1-2 เดือน แล้วก็หายสาบสูญไปตลอดกาล คนชุดดำไม่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่มีความเป็นมา โผล่มาแค่นี้จากนั้นก็หายไป...
ผมคิดว่าปัญหาหลักของอันนี้ คือโครงเรื่อง เพราะ 1.ไม่มีหลักฐานรองรับ 2.ไม่สมเหตุสมผล เรียกง่ายๆ ว่า unlogical
แต่โครงเรื่องหลักที่คุณสุเทพเล่า มันก็ส่งผลต่อความเชื่อของคน เนื่องจากคนไทยมีความแตกต่างทางความคิดอยู่แล้ว ดังนั้นคนก็จะเลือกเชื่อโครงเรื่องตามที่สอดคล้องกับความคิดของตัวเอง ดังนั้น กลุ่มคนเสื้อเหลืองจึงเลือกเชื่อโครงเรื่องแบบสุเทพ เขาอาจจะไม่ได้เชื่อ 100% แต่ก็ส่วนใหญ่ ดังนั้นเวลาเราเห็นคนเสื้อเหลือง อย่างคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ เขาจะอธิบายเหตุการณ์ปี 2553 ด้วยโครงเรื่องแบบสุเทพ คือเชื่อว่าทหารไม่ได้ยิงประชาชน เมื่อเชื่อแบบนี้ เขาก็เลยต้องหาอย่างอื่นมาอธิบาย ดังนั้นโครงเรื่องที่มี “ชายชุดดำ” จึงเข้ามาตอบโจทย์
พวกเขาจึงเชื่อว่า ทหารไม่ได้ฆ่าใคร แค่เข้ามารักษาความสงบ ฝ่ายคนเสื้อแดงต่างหากที่เข้ามาก่อเรื่อง ชายชุดดำน่าจะโยงกับแกนนำคนเสื้อแดง แล้วว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ คอป.ทำคือไปรวบรวม Hate Speech ของแกนนำ นปช.ว่า ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง จตุพร พรหมพันธุ์ เคยพูดอะไร แต่ปัญหาคือการรวบรวมไม่ได้ดูว่าเขาพูดในโครงเรื่องอะไร แต่เอามาโยงกับโครงเรื่องใหม่ ไม่ดูบริบท เอา quote นั้นมาโยงกับโครงเรื่องใหม่ คือมีชายชุดดำก่อความวุ่นวาย
นี่คือจุดบกพร่องของรายงาน คอป.?
มันคือความไม่สมเหตุสมผลของรายงานชิ้นนี้ บางอันอริสมันต์หรือณัฐวุฒิพูดตั้งแต่ปี 2552 ที่ยังไม่มีชายชุดดำเลย สรุปแล้วปัญหาของรายงานของ คอป.คือเรื่องคำอธิบาย ไม่ใช่เรื่องความจริง
ของคุณสุเทพที่ว่าไม่น่าจะจริงทั้งหมด แต่ทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อ
เพราะว่าเขาเลือกจะเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ หรือเขาไม่ได้คิดว่ามันสมเหตุสมผลไหม คนชุดแดงเอาอาวุธมามากมาย ไม่ยิงทหารเลย ไปยิงกันเอง ยิงเสร็จแล้วไม่ซ่อนไว้ในวัดปทุมฯ เพื่อให้ตำรวจไปจับ โครงเรื่องแบบนี้มันสมเหตุสมผลเหรอ เพราะถ้าคนชุดดำขนอาวุธมามากมาย พูดกันจริงๆ ทหารต้องตายเยอะ แล้วก็ไม่มีรูปพิสูจน์เลย มีรูปชายชุดดำสะพายปืน แต่ไม่มีรูปชายชุดดำยิงเลย ไม่มี eyewitness (พยาน) เห็นชายชุดดำยิงเลย แต่มีคนเห็นทหารมากมายกำลังยิงอยู่
ถ้าอธิบายแบบผมนะ ความจริงมันถูกเลือก fact มันถูกเลือก เขาจะเลือกแบบนี้ แล้วถ้าลองไล่มา 92 ศพ มีศพไหนบ้างที่เชื่อว่าตายเพราะชายชุดดำ เอาเข้าจริง ไม่มีเลย
พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ล่ะครับ
เรื่องนี้ก็มีปัญหา อย่าลืมนะเขาถูกระเบิดตาย หลังแนวการชุมนุม ผู้ชุมนุมหรือชายชุดดำจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงนั้นคือกองบัญชาการ แล้ว พ.อ.ร่มเกล้ากับพวกก็แต่งชุดสนาม ฉะนั้น ผมจึงคิดว่าเขาน่าจะโดนลูกฟลุ๊ก ...คือมันเป็นไปไม่ได้ที่จะคนชุดดำ หรืออีกแนวหนึ่งคือ คนในกองบัญชาการเล่นกันเอง
แต่ก่อน นปช.ชุมนุมในเดือน มี.ค.2553 ก็มีการยิง M79 ไปตามสถานที่ต่างๆ อาจารย์เชื่อว่าเป็นการเล่นกันเอง
ผมไม่มีหลักฐานขนาดนั้น แต่ต่อให้มีอะไรพวกนั้นทั้งหมด มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการที่จะขนทหารมากมายมาปราบปรามการชุมนุม มันละเรื่องกัน แล้วจะเห็นได้ชัดกว่า การปราบปรามการชุมนุมนปช.ปี 2553 มันเป็นปัญหาในเชิงบริบทที่ต้องอธิบายเยอะมาก อย่างเช่น ทุกคนรู้ว่าก่อนหน้านี้มีการชุมนุมของคนเสื้อเหลือง แล้วเป็นการชุมนุมที่ดุเดือดเลือดพล่านไม่แพ้คนเสื้อแดง มีการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดช่อง 11 ยึดสนามบิน แล้วชุมนุมต่อเนื่อง 193 วัน คำถามก็คือ ทำไมตลอดการชุมนุมคนเสื้อเหลือง เขาไม่เจอทหารเลย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่มีการส่งทหารมาล้อม ขอคืนพื้นที่เลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ไม่มีการล้อมปราบ เขาก็ชุมนุมไปเรื่อยจนเบื่อไปเอง
คำอธิบายในเรื่องนี้คือ...
ถ้ามองในเชิงประวัติศาสตร์ เราคิดว่า ชนชั้นนำเห็นคนเสื้อแดงเป็นศัตรู และมีความตั้งใจจะปราบอยู่แล้ว เขาจึงไม่เห็นว่าการก่อม็อบมีน้ำหนักเท่ากัน ต่อให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวช่วงแรกโดยสันติวิธีอย่างมาก ก่อนวันที่ 10 เมษาฯ ไม่เคยมีอะไรเลย แต่ไม่เคยถูกคิดเป็นน้ำหนัก แต่เขากลับเชื่อคำอธิบายว่าคนเสื้อแดงมีอาวุธมาเป็นคอนเทนเนอร์
แต่ในประวัติศาสตร์ไทย หลายๆเหตุการณ์ ก็มีมือที่ 3 เข้ามาแทรก อย่าง 14 ตุลาฯ (ปี 2516) ที่มีการปิดถนนหน้าสวนจิตรลดา พฤษภาทมิฬ (ปี 2535) ก็มีแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ ใครเผากรมประชาสัมพันธื เผา สน.นางเลิ้ง
ในความเห็นของผม มันไม่มีมือที่ 3 มีแต่มือที่ 1 หรือมือที่ 2 อย่างพฤษภาทมิฬ แก๊งมอเตอร์ไซค์ก็เป็นชาวบ้าน ที่มีมอเตอร์ไซค์แล้วไม่พอใจที่ถูกปราบ สน.นางเลิ้ง ชาวบ้านก็ไม่พอใจ ทำไมจะเผาไม่ได้
อย่างห้างเซ็นทรัลเวิลด์ รวมทั้งศาลากลางทั้งหลาย ต่อให้ชาวบ้านเผาจริง ผมว่ามีเหตุมีผลจะตายไป เพราะคุณเอาทหารมายิงๆๆ แล้วพี่น้องตายเยอะแยะ แล้วคุณไม่ให้เขาตอบโต้เหรอ ทำไมคุณไม่มองว่ามันเป็นปฏิกิริยา ขณะผมตอนนั้นยังรู้สึกโกรธแค้น ภรรยาผมอยู่บ้าน ก็บอกว่าถ้าไปร่วมเผาด้วยได้ก็จะทำ เพราะอยู่ดีๆ คุณเอาทหารมายิงเขาตายไป 70-80 ศพ จะให้เขานอนอยู่เฉยๆ ไม่ตอบโต้เลย มันเป็นไปไม่ได้ สมมุติเผาจริงทั้งหมด ผมยังเข้าใจได้ โดยไม่ต้องโยงกับคุณพูดของณัฐวุฒิหรือจตุพรเลย มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก 14 ตุลาฯก็เผา พฤษภาทมิฬก็เผา ไม่ต้องวาง plot หรืออะไรหรอก ผมโกรธแค้นรัฐก็เผาสถานที่ราชการ อียิปต์ ตูนิเซีย ก็เผา

โครงเรื่องของรัฐบาล ปชป. จึงต้องเน้นที่คนชุดดำ เพราะเป็น keyword สำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้กับการสลายการชุมนุม
ถ้าไม่มีเรื่องชายชุดดำ คุณจะเอาเหตุผลอะไรที่จะเอาทหารเป็นหมื่นๆ คนเข้ามาใน กทม. กระชับพื้นที่แล้วมีคนตายไป 90 กว่าคน คุณก็ต้องบอกว่านี่คือทหารฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งมันเป็นเรื่องร้ายแรงไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นเรื่องระดับนานาชาติ
มองอีกมุมทำไมโครงเรื่องของแกนนำ นปช.ว่าไม่มีคนชุดดำเลย ทหารเข้ามาปราบประชาชนมือเปล่า ถึงไม่ได้รับการตอบรับมาก
ปัญหาหลักของมันคือ เรื่องการรับโครงเรื่อง เพราะความขัดแย้งที่ผ่านมา 5-6 ปี ทุกคนมันไม่เป็นกลาง มันเลือกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่น้ำหนักจะเทไปอยู่ฝั่งไหนเท่านั้นเอง โอเค น้ำหนักของผมอาจจะไม่เท่า อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ (ประธาน นปช.) หรือไม่เท่า อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แต่พูดกว้างๆ ก็อยู่ข้างนี้แหล่ะ ผมเหมือน อ.ธิดา มากกว่าคุณสนธิ ลิ้มทองกุล นี่เป็นเรื่องธรรมดา คือผมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับ อ.ธิดา 100% แต่ไม่มีทางเห็นด้วยกับคุณสนธิสัก %
ฉะนั้นผมจึงคิดว่า 5-6 ปี มันไม่มีแล้ว ความขัดแย้งมันเขม็งเกลียว มันก็กระทบกับระบบคิดของสังคม ทีนี้เมื่อทุกคนเลือกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ละคนก็เลือกเอาโครงเรื่องที่สอดคล้องกับระบบคิดของตัวเอง
ทีนี้ ผมคิดว่าปัญหาหลักคือสื่อกระแสหลัก ที่เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว คือเลือกโครงเรื่องแบบนี้ อาจจะไม่ 100% ของสุเทพ แต่มีสุเทพเป็นตัวอย่าง หรือแล้วเฉพาะโทนเรื่อง อาจจะไม่ต้องเล่าแบบสุเทพ 100% เช่น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นโทษรัฐบาลฝ่ายเดียวไม่ได้นะ ต้องโทษแกนนำเสื้อแดงด้วยนะ อย่างเพื่อนผมคนนึงที่สนิทกันตอนเด็กๆ ตอนนี้อยู่คนละฝ่ายกัน ก็บอกว่า “ไอ้พวกแดงมันถ่อยอ่ะ” ใครๆเขาพูดด้วยว่า ที่ทำยังน้อยไป ไอ้พวกแดงควรจะโดนมากกว่านี้เยอะ บางคนก็บอกว่า มึงเข้ามาปิดกทม. ทำให้บ้านเมืองฉิบหาย รัฐบาลจะทำยังไงก็ได้ให้ไปพ้นๆ คนพวกนี้จึงพร้อม support รัฐบาล ฆ่า 70 กว่าคนแล้วไง ก็พวกมึงมาก่อกวน ตายแค่นี้ยังดี พม่าตายไปหลายพัน (ขำขื่น)
หรือโครงเรื่องของแกนนำเสื้อแดงก็ไม่ logical 100% ยังมีจุดบอดที่ถูกโต้ได้คนก็เลยยังไม่เลือกเชื่อ
ผมไม่คิดว่าอย่างนั้น ถ้าถามจริงๆว่า เรื่องทั้งหมดแกนนำเสื้อแดงมีความผิดพลาดไหม คำตอบคือมีเต็มเลย แต่ผมมองว่า ความผิดพลาดของแกนนำเสื้อแดงก็เป้นเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถมารวมกับการปราบประชาชนได้ ย้อนกลับไป 6 ตุลาฯ ถามจริงๆว่า นักศึกษามีปืนไหม มีสิ แต่ต่อให้นักศึกษามีปืน มันก็เป็นคนละเรื่องกับการเอา ตำรวจตระเวนชายแดนใช้อาวุธสงครามมาไม่ยิง มันคนละประเด็นกัน
การมีอยู่และบทบาทของ เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) ทำให้คนจำนวนไม่น้อยไปเชื่อโครงเรื่องแบบคุณสุเทพ ทั้งเรื่องการฝึกอาวุธ มีกองกำลัง
ต้องไปคุยกับเพื่อนผมที่เป็นทหารตัวจริง บอกว่า เสธ.แดงมีแต่ราคาคุย เสธ.แดงก่อนหน้านี้ทำอะไร เพราะบ้านเมืองเราสงบมาเป็นเวลาช้านาน พูดตรงๆ ทหารรายได้ลด จึงต้องไปประกอบธุรกิจ คราวนี้ทหารมันเรียนมาด้านนี้จะไปประกอบธุรกิจอะไร มันก็ไปทำบริษัทรักษาความปลอดภัย หรือที่รู้กันอย่างไม่เป็นทางการ ก็คือไปทำซุ้มมือปืนรับจ้าง ซึ่งอันนี้ก็ไม่แปลก เพราะเป็นความเชี่ยวชาญโดยตรงของทหาร
คราวนี้ก็มีทหารจำนวนมากไปทำโดยไม่เปิดเผย เสธ.แดงเป็นตัวเปิดคือคอยรับหน้าแล้วแบ่งปันผลประโยชน์ คือนี่คือบทบาทของ เสธ.แดงก่อนหน้าจะมีการชุมนุม พอเกิดเหตุการณ์ปี 2549 เสธ.แดงก็ผูกพันกับฝ่ายทักษิณ คือเขามาอยู่ฝ่ายนี้เพราะรักทักษิณ ตัวจริงของแกไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น ตัวทำจริงมีจำนวนมากที่ไม่เปิดเผยตัว เสธ.แดงก็เลยซวย เพื่อนผมยังบอกเลย เห้ย อย่าไปเชื่อ เสธ.แดงมาก ที่ไปพูดบนเวทีว่าจะทำโน่นจะทำนี่ คนอื่นทำทั้งนั้นแหล่ะ
ปัญหาหลักคือ ทั้งหมดเนี่ย มันยืนอยู่บนความเชื่อล้วนๆ ยังไม่มีหลักฐานว่า เสธ.แดงไปทำอย่างที่ถูกกล่าวหา จนถึงวันนี้ถ้าพูดในเชิง fact ผมยังไม่เห็นใครโชว์หลักฐานเรื่องนี้ ดังนั้นเรื่อง เสธ.แดงถึงไม่ขึ้นอยู่กับหลักฐาน แต่ขึ้นกับความเชื่อมากกว่า
จะสกัดหลักฐานออกจากความเชื่อและจุดยืนทางการเมืองได้อย่างไร
(ตอบทันที) คงยาก เพราะมันยังเป็นระยะที่ใกล้กับเหตุการณ์ ทุกคนก็มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับใดระดับหนึ่ง อาจจะไม่ถึงกับต้องมี activity (กิจกรรม) ยังรวมถึงเรื่องทางความคิดด้วย เพราะคนเรามัน take side อย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ นักศึกษาถูกใส่ร้ายป้ายสีเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พูดง่ายๆ คือ นักศึกษาเป็นผู้ร้าย พวกกระทิงแดงถูกอธิบายเป็นผู้รักษาชาติบ้านเมือง ทั้งที่เป็นฝ่ายถืออาวุธมาฆ่า นักศึกษา แต่โครงเรื่องมันกลับตาลปัตร แต่เราจะเห็นว่า 10 ปีผ่านไป คำอธิบายจะเริ่มเปลี่ยน ทั้ง นักศึกษาเป็นญวน มีอาวุธร้ายแรงซ่อนอยู่ใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง ชักจะเริ่มใช้ไม่ได้ มาถึงวันนี้ 36 ปี ผมคิดว่าไม่มีใครพูดแล้วว่าสิ่งที่กระทิงแดง ที่ตำรวจตระเวนชายแดนทำ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ทำไมพออยู่ใกล้เหตุการณ์ เราถึงสกัดความเชื่อไม่ได้
เพราะมนุษย์มันมีอัตวิสัย คนที่ใกล้เหตุการณ์ปี 2490 ก็อธิบายว่านายปรีดี พนมยงค์ เป็นคนชั่ว ครูที่สอนผมตอนประถมด่าเละเลย แต่พอวันนี้ ถ้าใครอธิบายอย่างนั้น ทุกคนจะมองว่า ไอ้นี้บ้าหรือเปล่า
ประวัติศาสตร์ในระยะยาวมันเที่ยงธรรม แต่ต้องอาศัยเวลา ผมคิดว่าในอดีต 40-50 ปีข้างหน้า คนสมัยนั้นจะมองย้อนกลับมาในเหตุการณ์ปี 2553 แล้วคุณอภิสิทธิ์กับคุณสุเทพไม่มีวันที่จะหลีกเลี่ยงความชอบธรรมได้เลย เพราะในระยะยาว โครงเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลจะอยู่ไม่ได้ เมื่อควันจางอคติมันคลายไป คนก็ต้องมองประวัติศาสตร์แบบที่มันเป็น แล้วคำถามที่ผมตั้งในวันนี้ มันจะชัดเจนยิ่งขึ้นในเวลาผ่านไป
อีกอย่างคนที่มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์มันยังมี emotion (อารมณ์ร่วม) ต้องรอให้ emotion ลดลงก่อนแล้วจะเห็นความจริงได้มากขึ้น
ต้องรอกี่ปีอารมณ์ความรู้สึกถึงจะตกตะกอนพอให้เห็นความจริง
ถ้าดูจาก 6 ตุลาฯก็สัก 20 ปี
ปี 2573 เราถึงจะได้ความจริงของเหตุการณ์ปี 2553
เอ้า อย่างตอนที่ นักศึกษาจัดงาน 20 ปี 6 ตุลาฯ เมื่อปี 2539 ผมคิดว่าตอนนั้นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญมาก เพราะแม้ตอนนั้น พล.ต.สุดสาย เทพหัสดิน แกนนำกลุ่มกระทิงแดงจะยังมีชีวิตอยู่ แต่จะเห็นได้ว่าคำอธิบายของ พล.ต.สุดสายไม่ได้มีน้ำหนักเลย แกกลายเป็นตัวตลก เหมือนที่ พ.ท.ณรงค์ กิตติขจร วันนี้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วออกมาพูดว่าพ่อผม (จอมพลถนอม กิตติขจร) ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ มันไม่มีใครฟัง เพราะมันฟังไม่ได้ ทั้งที่พูดแบบแฟร์ๆ หลายเรื่องจริง เช่นมีความเป็นไปได้ว่า 14 ตุลาฯ คุณถนอมไม่ได้ก่อ เพราะตกลงกับ นักศึกษาได้แล้ว ให้ นักศึกษากลับบ้าน ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปยิง นักศึกษาเลย คุณถนอมจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการปะทะกันข้างวังสวนจิตรลดา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันมีมือที่ 1 อีกมือนึ่งก่อ (หัวเราะ)
มักจะมีคำพูดว่าผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์ แต่คราวนี้รัฐบาลก็เปลี่ยนแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรขึ้นมาเป็นนายกฯ แต่ทำไมคนทั่วไปยังไม่ยอมรับประวัติศาสตร์ฉบับที่เล่าโดย นปช.ได้
เวลาเราตีความคำว่าผู้ชนะ เราไม่รู้แปลว่าอะไร บางทีมันหมายถึงผู้ชนะในระยะยาว มากกว่าผู้ชนะในระยะสั้น ผมยกตัวอย่าง 6 ตุลาฯ ผมคิดว่าผู้ชนะตัวจริงคือฝ่าย นักศึกษาต่างหาก แม้จะโดนปราบ เป็นผู้ชนะในทางเหตุผล ฉะนั้น ประวัติศาสตร์ของ 6 ตุลาฯนับจากนี้ไป จะถูกอธิบายในโทนของนักศึกษาจะไม่ถูกอธิบายในโทนของกระทิงแดง
.............................................
