กรณี เหลือง-แดง แก้น้ำท่วม อัลไพน์ จุดวัดความสว่างของสังคม

ผมเชื่อในหลัก “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” คือ แผ่นดินใดที่เป็นธรรม แผ่นดินนั้นจะเป็นทอง
แผ่นดินที่เป็นธรรม คือแผ่นดินที่ดำเนินในทางสว่าง ซึ่งหมายถึง ความรู้รักสามัคคี ความสัตย์ซื่อชอบธรรม ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความไม่แบ่งแยกแตกก๊กแตกเหล่ากัน ฯลฯ
ในช่วงนี้ มีหลายเหตุการณ์ที่ผมอยากแสดงความคิดเห็นจุดวัดความสว่าง ดังนี้
1. เหตุการณ์ เหลือง-แดงปะทะกัน ผมเห็นเหตุการณ์มวลชนเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง เริ่มมีกรณีปะทะกัน แล้วหนักใจ เพราะความรักเป็นความสว่าง ความโกรธ เกลียด ชิงชัง ความแตกแยก เป็นความมืด
กลุ่มเสื้อเหลือง มีแกนนำสัญลักษณ์ คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้รักประชาธิปไตย และเรียกร้องให้ได้ประชาธิปไตย ที่แท้จริง ที่ขาวสะอาด ไม่ใช่เป็นระบบทุนผูกขาดนิยม
กลุ่มเสื้อแดง มีแกนนำสัญลักษณ์ คือ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เป็นผู้รักประชาธิปไตย และมุ่งต่อต้านเผด็จการ
ผมเองก็เป็นอดีตนักกิจกรรมสมัยเป็นนิสิตจุฬาฯ มีใจรักประชาธิปไตย
ผมเคารพว่า คนส่วนใหญ่ที่ขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคม ก็ล้วนแต่มีความรักประชาธิปไตยในแนวทางของตัว
ผมอยากเห็นเราทุกคน “จริงใจ” กับหลักการประชาธิปไตย “จริงใจ” กับความรักชาติ รักแผ่นดินแม่
เสน่ห์ของประชาธิปไตย คือ การปกครองซึ่งเคารพ “เสรีภาพ” อันทำให้เกิด “ความแตกต่าง” ทางความคิด แตกต่างได้ แต่ ต้องไม่แตกแยก !
ในเมื่อความมุ่งหมายของมวลชนเสื้อเหลือง และ มวลชนเสื้อแดง คือประชาธิปไตย ก็ควรมีประชาธิปไตย เคารพความเห็นที่แตกต่าง และให้เกียรติต่อการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อย่างสงบ ภายใต้กฎหมาย
ผมเชื่อว่า ในกลุ่มมวลชนเสื้อเหลือง ก็มี “เหลืองรักสงบ” กับ “เหลืองหัวรุนแรง”
ในกลุ่มมวลชนเสื้อแดง ก็มี “แดงรักสงบ” กับ “แดงหัวรุนแรง”
เพื่อความสงบของบ้านเมือง ผู้ใหญ่น่าจะหาทางให้ เหลืองเข้าใจแดง และแดงเข้าใจเหลือง ให้ทุกคนดีใจที่เราคนไทย 65 ล้านคนรักกัน ไม่แบ่งแยกฝ่าย ดังจะเห็นว่า ไม่ว่ามีปัญหาเมื่อใด เราคนไทยก็จะช่วยเหลือกัน
การกระทบกัน ทำให้กังวลว่า บ้านเมืองยังไม่อยู่ในทางสว่าง เพราะขาดความรักสามัคคีกัน เราทุกคนจึงควรช่วยกัน ดังเพลงชาติที่เราร้องกันว่า “ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี ไทยนี้รักสงบ” ก็จะช่วยกันนำพาบ้านเมืองสู่ทางสว่างมากขึ้น
2. เหตุการณ์น้ำท่วม จนบัดนี้ แม้น้ำท่วมในบางจังหวัดจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ผมรู้สึกดีใจที่การแก้ไขปัญหาทุกครั้ง ทั้งรัฐบาล ทหาร ตำรวจ เอกชน ประชาชน ก็ร่วมแรงร่วมใจจนบรรเทาปัญหาไปได้เร็วขึ้นๆ
น้ำท่วมใน กทม. เอง ก็ต้องยอมรับว่า ปีนี้ ฝนตกแรงมาก และบางครั้งหนักๆนานๆ ทีเดียว น้ำก็จะมีท่วมขังบ้าง แต่ต้องขอชม กทม. ที่ช่วยทำน้ำลงได้เร็วพอสมควร แทบจะไม่เห็นปัญหาประเภทข้ามวัน หากเทียบกับสภาพที่มีนี้ มีฝนตกหนักหนาแน่นมากๆเป็นช่วงๆ สภาพพื้นที่ราบที่มี “ความชันน้อย” ระบายน้ำไม่ง่าย ก็ถือได้ว่าการแก้ไขปัญหาทำได้ดีทีเดียว หากมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่ม โดยการเพิ่มอุโมงค์ยักษ์ ก็เชื่อว่า จะลดปัญหาน้ำท่วมขังไปได้อีกมาก
และรู้สึกขอบคุณรัฐบาล และ กทม. ที่ร่วมกัน (เกือบจะแย่งกัน) ทำงานเพื่อเอาใจประชาชน ในการขุดรอกท่อ ผมก็เข้าใจว่า ปัญหาไม่น้อย ยังเกิดจากความสะเพร่าของคนส่วนใหญ่ ตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกเหนือจากขยะ น้ำมันที่พวกเราทิ้งลงท่อกันอย่างไม่สมควร ก็พวกเรากันเองอีกนั่นแหละ ที่กลัวว่าน้ำเหนือจะมาท่วมพื้นที่ผ่านท่อ เราก็เอาถุงทรายลงไปอุดท่อ ปีนี้กลับกัน น้ำมากจากฟ้า ไม่ใช่มาจากเหนือ จึงทำให้การระบายอุดตันและชักช้าไปบ้าง เมื่อทราบปัญหา และแก้ไข ทุกอย่างก็เดินไปได้ดีขึ้น
เรื่องนี้ ผมมองเป็นเรื่องดี ที่ทุกฝ่ายร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน จะสีแดง สีฟ้า สีเหลือง สีเขียว ก็มีหัวใจเดียวกัน คือ ช่วยกันแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ก็เห็นความสว่างในสังคม
3. เหตุการณ์กรณี สนามกอล์ฟ อัลไพน์ ตามที่ได้มีคำตัดสินของ ปปช. ว่า ท่าน ยงยุทธ มีความผิด ในฐานะรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย จนในที่สุด ท่าน ยงยุทธได้ลาออกไปนั้น ก็ถือว่า เป็นสัญญาณที่ดีของ “ความสว่าง” มีความรับผิดชอบต่อการกระทำความผิด
ในความเชื่อของผม พระเยซูคริสต์ทรงสละชีวิตเพื่อไถ่บาปแทนมนุษย์ จึงทำให้มนุษย์ รู้ซึ้งถึงพระคุณ ความรัก และมีความหวังในการ “กลับใจ” กลับมา “เลือก” เดินใน “ทางสว่าง”
การลาออก ด้วยความสำนึกผิด จึงเป็นเรื่องดี
แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า สาระของการสื่อสารกันนั้น หนักไปทาง “ขอบคุณที่เสียสละ” เป็นเรื่อง “น่าประทับใจ” ที่ท่าน “เสียสละ”
ผมยังไม่เห็นการออกมา “ขอโทษ” ประชาชน ที่ได้กระทำความผิด ชี้แจงยอมรับว่า แนวทางของการกระทำที่เข้าข่าย ใช้อำนาจรัฐ “กระทำการ” หรือ “ละเว้นกระทำการ” เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้องนั้น เป็นความบาป
ผมว่า ถ้าไม่ผิดจริง แล้วก็น่าจะแสดงหลักฐานว่าไม่ผิด
แต่ถ้าผิดจริง การจะได้รับเกียรติว่า “เสียสละ” นั้น น่าจะประกอบไปด้วยการทำดีต่อแผ่นดิน คือ บอกเล่าให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า “สิ่งที่ได้ทำนั้นไม่ดี เป็นความบาป เข้าข่ายทุจริต คอรัปชัน ไม่น่าจะได้กระทำ เสียใจที่ได้กระทำไป และไม่ควรมีใครกระทำอีก” ก็จะเป็นการช่วยประเทศไทยให้เดินในทางสว่างมากขึ้น
อย่าปล่อยให้สังคมเข้าใจเลยว่า การกระทำที่เข้าข่ายทุจริต คอรัปชันนั้น เป็นเรื่องธรรมดา ใครๆก็ทำกัน และเมื่อหาช่องหลบ เช่น การใช้ “พรบ. ล้างมลทิล” หรือทางอื่นๆจนไม่สำเร็จ ในที่สุดต้องจำนน ก็เพียงแต่เห็นใจกัน ให้กำลังใจกัน โดยไม่เห็นความสำนึกในความบาป เช่นนั้น สังคมจะตกอยู่ในความมืด
ชีวิตคนเราทุกคน จะต้องถึงวันพิพากษา เราจะเลือกเดินทางสว่าง หรือเลือกเดินทางมืด เราเป็นคนเลือกเองครับ !
มนตรี ศรไพศาล ([email protected]">[email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
