เปิดเบื้องหลัง 176 ศัพท์ร้อน ถอด “วิธีแก้คำ” ของราชบัณฑิตยสถาน
หลังถูกรุมกระหน่ำด้วยเสียงวิจารณ์ ในที่สุด “ราชบัณฑิตยสถาน” ก็ใส่เกียร์ถอยหลังจากการแก้ไข “คำยืม” จากภาษาอังกฤษ จำนวน 176 คำ ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542
(ดูคำยืมจากภาษาอังกฤษทั้ง 176 คำ ที่ ศ.กาญจนาเสนอให้แก้ไข ในล้อมกรอบด้านล่าง)
จริงๆ จะใช้คำว่าใส่เกียร์ถอยหลัง ก็อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะเรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงข้อเสนอของ “ศ.กาญจนา นาคสกุล” ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย
แต่สังคมไทยเวลานี้ไวต่อความรู้สึก ทำให้ไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก “แนวคิด” ดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ เสียวิจารณ์ก็ดังกระหึ่ม ทั้งตามโต๊ะกินข้าว ร้านค้า ตลาดสด ลามไปถึงโลกโซเชียลมีเดีย
กระทั่ง ในเว็บไซต์ของราชบัณฑิตยสถาน (http://www.royin.go.th) ก็ยังมีคนมาตั้งกระทู้ถามด้วยอารมณ์หงุดหงิดแกมประชดประชัน ว่า
“เปลี่ยนทับศัพท์แล้ว ทำให้ประเทศเจริญขึ้นหรือไม่?”
“สงสัยราชบัณฑิตจะว่างมาก เดี๋ยวแก้เดี๋ยวยกเลิก”
“ทำไมราชบัณฑิตไม่เปลี่ยน ลอนดอน เป็น ลั๊นดั่น”
ฯลฯ
เมื่อกระแสไม่พอใจขึ้นสูงชนเพดาน “น.ส.กนกวลี ชูชัยยะ” เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธว่า จะไม่มีการแก้ไขคำยืมในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ที่กำลังอยู่ระหว่างการจัดพิมพ์อย่างแน่นอน พร้อมกับอ้างพระดำริของ “พล.ต.พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์” อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน ที่ว่า การเขียนคำในภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษออกเสียงไม่แน่นอน จะออกเสียงอย่างไรย่อมแล้วแต่ประโยค เสียงจะสูงต่ำก็แล้วแต่ตำแหน่งของคำในประโยค จึงทรงเห็นว่าไม่ควรใช้วรรณยุกต์กำกับตามเหตุผลดังกล่าว
“สำนักข่าวอิศรา” ได้คุยกับแหล่งข่าวในราชบัณฑิตยสถาน ถึง "ขั้นตอน" การแก้ไขคำยืมของราชบัณฑิต ก่อนพบว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ประเมินเอาคร่าวๆ น่าจะใช้เวลาหลายเดือนจนถึงหลายปี ดังเช่นข้อเสนอขอแก้ไขคำยืม 176 คำของ ศ.กาญจนา ที่ต้องรับฟังความคิดเห็นภายในองค์กร ถึงวันที่ 31 ต.ค.นี้ ก่อนจะเสนอเข้าที่ประชุมสภาราชบัณฑิต ครั้งที่ 4/2555 ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ จึงยากที่จะเห็นผลได้ในระยะเวลาอันใกล้
“พอเสนอเข้าไปแล้วใช่ว่าสภาราชบัณฑิตจะเห็นด้วย หรือต่อให้เห็นด้วย ก็จะต้องนำไปทำประชาพิจารณ์จากผู้ที่เกี่ยวข้องอีก เนื่องจากเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า อะไรที่กระทบกับประชาชนส่วนใหญ่จะต้องเปิดให้รับฟังความคิดเห็น หลังทำประชาพิจารณ์เสร็จ ทางราชบัณฑิตยสถานก็จะต้องทำเรื่องเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ หากได้รับความเห็นชอบจาก ครม.ถึงจะมีการออกเป็น ‘ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ระเบียบการใช้ตัวสะกด’ ที่จะใช้บังคับได้หลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาอีก ไม่ใช่แค่ข้อเสนอดังกล่าวผ่านสภาราชบัณฑิตแล้วจะใช้ได้เลย” แหล่งข่าวกล่าว
"ความจริงแล้วทั้ง 176 คำเป็นข้อเสนอของ อ.กาญจนาเองครับ ในราชบัณฑิตไม่เคยมีการคุยเรื่องนี้กันเลย เพราะความจริงคำยืมจากภาษาอังกฤษในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 มีมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ" แหล่งข่าวเผย
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องหลักเกณฑ์การสะกดคำ เรื่อง “คำยืม” จากภาษาอังกฤษ ที่เป็นที่ประเด็นร้อนอยู่ตอนนี้ ราชบัณฑิตยสถานยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การเขียน “คำทับศัพท์” ซึ่งปัจจุบันมี 11 ภาษาที่ราชบัณฑิตยสถานได้กำหนดหลักเกณฑ์ไปแล้ว ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษามลายู ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย ภาษาสเปน ภาษาอาหรับ ภาษาอิตาลี ภาษาเกาหลีและภาษาเวียดนาม
โดยจะใช้ระบบ I.P.A. (International Phonetic Alphabet) หรือสัทอักษรสากล ในการเทียบเสียงว่า ภาษาใดเมื่อมาเขียนเป็นคำทับศัพท์แล้วจะมีวรรณยุกต์หรือไม่มีวรรณยุกต์ เนื่องจากแต่ละภาษามีระดับเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน อย่างภาษาไทยมี 5 เสียง แต่ภาษาเวียดนามมี 6 เสียง จึงต้องใช้ระบบ I.P.A. มาเป็นตัวเทียบ
“และยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การเขียน “ศัพท์บัญญัติ” ได้แก่ศัพท์เทคนิคในสาขาวิชาต่างๆ อาทิ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ มาให้ความเห็นประกอบด้วย”
แหล่งข่าวยังกล่าวว่า แม้ขั้นตอนการกำหนดหลักเกณฑ์ “คำทับศัพท์-ศัพท์บัญญัติ” จะต่างกับการสะกดคำเรื่อง “คำยืม” จากภาษาอังกฤษนิดหน่อย ตรงที่ไม่ต้องผ่านการพิจารณาจากสภาราชบัณฑิต แต่ให้คณะกรรมการในราชบัณฑิตยสถานผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เป็นผู้สรุป โดยคำจากภาษาต่างประเทศใดที่มีความเห็นแตกต่างมาก อาจใช้วิธีการ "โหวต" ในคณะกรรมการ ว่า คำๆ นั้น ควรจะเขียนอย่างไร และใช้วรรณยุกต์อะไร
“แต่ปลายทางก็เหมือนกัน คือให้ต้องที่ประชุม ครม.เห็นชอบ แล้วออกมาเป็น ‘ประกาศสำนักนายกฯ’ ซึ่งต้องประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาก่อน ถึงจะมีผลบังคับใช้” แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้าย
เมื่อฟังคนวงในไล่เรียงมาขั้นตอนอย่างนี้ ทำให้รู้ว่าบรรทัดสุดท้ายของเรื่องนี้ ต้องไปถามใจ “ครม.” ไม่ใช่ว่า “ราชบัณฑิตยสถาน” อยากจะแก้ไขอะไร ก็ทำได้ตามใจชอบ
อย่างไรก็ตาม เสียงวิจารณ์ที่กระหึ่มประเทศเวลานี้ ก็อาจถือได้ว่าเป็นการทำประชาพิจารณ์ในเบื้องต้นว่า คนในสังคมส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องการแก้ไข คำทั้ง 176 คำ หรือไม่ !!!
.................................
(ล้อมกรอบ) คำยืมจากภาษาอังกฤษ ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 จำนวน 176 คำที่ ศ.กาญจนาเสนอให้แก้ไข
1.คำที่ใส่เครื่องหมายไม้ไต่คู้เพื่อแสดงสระเสียงสั้น ได้แก่ ซีเมนต์ เปลี่ยนเป็น ซีเม็นต์, เซต-เซ็ต, เซนติกรัม-เซ็นติกรัม, เซนติเกรด-เซ็นติเกรด, เซนติลิตร-เซ็นติลิตร, ไดเรกตริกซ์-ไดเร็กตริก, เทนนิส-เท็นนิส, นอต-น็อต, นิวตรอน-นิวตร็อน, เนตบอล-เน็ตบอล, เนปจูน-เน็ปจูน, เบนซิน-เบ็นซิน, แบคทีเรีย-แบ็คทีเรีย, มะฮอกกานี-มะฮ็อกกานี, เมตริก-เม็ตตริก, เมตริกตัน- เม็ตริกตัน, แมงกานิน-แม็งกานิน, อิเล็ก ตรอน-อิเล็กตร็อน, เฮกโตกรัม-เฮ็กโตกรัม, เฮกโตลิตร-เฮ็กโตลิตร |