ฟังเหตุผล “บุญทรง” ว่าทำไม “จำนำข้าว” ถึงเป็นสุดยอดนโยบาย ?
“บุญทรง” แจงเหตุข้อดีของ นบ. “จำนำข้าว” คุยปีนี้ระบายข้าวได้ 8.5 หมื่นล้าน? -ปีหน้าพุ่ง 2.5 แสนล้าน!?

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. เว็บไซต์อินไซด์ไทยกอฟ (www.insidethaigov.com) ได้เผยแพร่ บทสัมภาษณ์ของ “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์” รมว.กระทรวงพาณิชย์ ถึงโครงการรับจำนำข้าว หลังโครงการดังกล่าวถูกโจมตีจากหลายฝ่าย ว่าเป็นนโยบายที่สร้างภาระต่องบประมาณของประเทศอยู่สูง เอื้อประโยชน์ต่อโรงสีมากกว่าชาวบ้าน มีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตขึ้นมากมาย
ที่สำคัญ ทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าราคาข้าวในตลาดโลก จนประเทศไทยต้องเสียแชมป์ผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกให้กับประเทศเวียดนาม
โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักวิชาการสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ล่ารายชื่อ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุติโครงการดังกล่าว
ขณะที่ “ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร” ให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายก่อนพ้นตำแหน่งประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า นโยบายที่ทำให้รัฐต้องขาดทุนเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาทเข้าไปอุ้ม จะทำให้ประเทศไทย เสี่ยงเผชิญหน้ากับวิกฤตใหญ่ ได้แก่ “วิกฤตการคลัง-วิกฤตข้าวไทย” (คลิกอ่าน)
กระทั่งคนกันเองของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่าง "ดร.วีรพงษ์ รามางกูร" ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังวิจารณ์ว่านโยบายจำนำข้าวอาจจะทำให้รัฐบาลชุดนี้ล้มไปเลยก็ได้ !
ทั้งนี้ คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของนายบุญทรง ยังถูกเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล (www.thaigov.go.th) นำไปเผยแพร่ต่อในวันเดียวกัน
..................................................
@ ที่มาของนโยบายรับจำนำสินค้าเกษตร
เริ่มต้นจากากรทำนโยบาย ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยก็มีการคิดนโยบายหลายๆ ด้าน สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มนักธุรกิจและพ่อค้า ที่มีเรื่องลดภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนั้นก็มีนโยบายสร้างรายได้ให้กับคนชั้นกลาง ปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน ค่าแรงงาน 300 บาทต่อวัน ไล่มาถึงเรื่องกองทุนสตรี กองทุนตั้งตัวได้ และอีกหลายๆอย่าง และท้ายที่สุดคือเกษตรกรชาวนา ก็ต้องได้รับการดูแล
เพราะฉะนั้นระบบการคำนวณการคิด ปรัชญาแนวทาง เบื้องหลังของการตั้งนโยบายทั้งหมดก็เพื่อดูแลคนทุกส่วนของประเทศไทย เพราะฉะนั้นเกษตรกรชาวนา ที่เป็นคนส่วนใหญ่ ที่อยู่ในระบบจำนวน 10 กว่าล้านคน ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน
เราจึงมองไปถึงการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยการเอาโครงการยกระดับสินค้าเกษตร มาเป็นหลักในการปฏิบัติงาน ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้คือปรัชญาหลักที่อยู่เบื้องหลังนโยบายรับจำนำข้าว หรือยกระดับสินค้าเกษตรทั้งหมด รวมไปถึงมันสำปะหลัง ยางพาราและสินค้าเกษตรอื่นๆ ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งที่รัฐบาลต้องการจะเห็นคือเกษตรกรชาวนา มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความเท่าเทียม มีรายได้เพียงพอที่จะอยู่ในสังคมอย่างเป็นธรรม
@ เพราะอะไรจึงเชื่อว่าแนวทางการรับจำนำสินค้าเกษตร ดีกว่าระบบอื่น
ระบบรับจำนำนั้นอย่างแรกเลยคือ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรนั้นสูงขึ้นได้อย่างชัดเจน ชาวนาได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเม็ดเงินถึงมือ แม้จะไม่เอาข้าวมาจำนำในโครงการของรัฐบาล แต่ราคาข้าวในตลาดในประเทศนั้น ข้าวเปลือก ก็มีราคาขยับสูงขึ้นกว่าเดิมที่มีอยู่ในอดีต
รัฐบาลเริ่มรับจำนำข้าวในฤดูกาลเพาะปลูก 54/55 หากไปตรวจดูตัวเลขราคาข้าวเปลือกในตลาด แม้กระทั่งโรงสีหรือผู้ส่งออก ที่ไปรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา ก็จะวางราคาไว้สูงเกินกว่า 1 หมื่นบาท ซึ่งก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่จับต้องได้แล้วในขณะนี้ว่า โครงการรับจำนำ ของรัฐบาล สามารถดันให้ราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาเอาไปขายได้ในประเทศสูงขึ้น
ข้อดี ข้อต่อมาก็คือ รัฐบาลยังมีข้าวอยู่ในสต็อก ที่สามารถเอาไปบริหารได้ ทั้งเรื่องของการบริหารราคาส่งออก ทั้งเรื่องการบริหารสต็อกภายในประเทศ เพื่อความมั่นคงทางอาหาร เพราะเราอาจจะเจอกับภัยพิบัติ เรื่องภัยแล้งหรืออะไรก็ได้ เพราะภัยธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ กระทั้งปี 2555 ประเทศใหญ่ๆ อย่างจีนและสหรัฐอเมริกา ก็ประสบกับภาวะภัยแล้งกันทั้งสิ้น ดังนั้นผลผลิตที่จะออกมาเพื่อใช้บริโภคเป็นอาหารก็จะลดลง โครงการรับจำนำก็จะสามารถมาบริหารตรงนี้ได้
หากเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้เกษตรของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่าเม็ดเงินที่ใช้ในแต่ละปีก็ไม่น้อย หากเราไปตรวจดูก็จะเห็นได้ว่า ปีหนึ่งๆ โครงการประกันรายได้เกษตรกรใช้เงินประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาทแล้วรัฐบาลไม่มีข้าวอยู่ในมือ
ซึ่งหลายคนพยายามโต้แย้งว่าโครงการประกันราคาพืชผลนั้นดีกว่าโครงการรับจำนำ แต่ผมคิดว่าแต่ละรัฐบาลที่เข้ามาบริหารงานนั้น ปรัชญาแนวความคิดก็ย่อมจะแตกต่างกัน ก็สะท้อนจากเรื่องนโยบายและการกำหนดวิธีการทำงาน รัฐบาลนี้เห็นว่าเรื่องการรับจำนำดีกว่าก็ใช้แนวทางนี้ รัฐบาลที่แล้วเห็นว่าประกันรายได้ดีกว่าก็ใช้แนวทางนั้น
ท้ายที่สุดเงินที่เข้าสู่มือเกษตรกรนั้น ผมมั่นใจว่าโครงการรับจำนำทำให้เงินเข้าสู่มือเกษตรกรมากกว่า เพราะว่าโครงการประกันรายได้นั้นใช้เงินแต่ละปี 7-8 หมื่นล้านบาท โดยที่รัฐบาลไม่มีข้าวอยู่ในมือเลย ต่างกับโครงการรับจำนำนั้นแม้เราจะใช้งบประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท แต่เงินที่เหลืออยู่ในมือเกษตรกรคิดเป็นกำไรแล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งเงินเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจในประเทศแข็งแรง ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โตขึ้น แล้วท้ายที่สุดกลับมาเป็นภาษีเข้ากระเป๋ารัฐบาลอีกทอดหนึ่ง
@ นักวิชาการบางส่วนเป็นห่วงว่าโครงการรับจำนำ สิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล
ผมมั่นใจและเรียนย้ำว่าโครงการรับจำนำนั้น เราจะใช้เม็ดเงินงบประมาณแต่ละปี ที่รัฐบาลต้องรับภาระ จะไม่สูงไปกว่าโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลก่อนหน้า
ในปี 2555 เรารับจำนำ ซึ่งสิ้นสุดโครงการไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2555 นั้นใช้เม็ดเงินไปทั้งสิ้นประมาณ 3 แสนล้านบาท ทั้งนาปีและนาปรัง โดยเราได้ข้าวเปลือกมาอยู่ในมือรัฐบาลประมาณ 21 ล้านตัน แปรสภาพมาเป็นข้าวสารได้ประมาณ 11 ล้านตัน เม็ดเงินที่ใช้ออกไปก็ไม่ได้สูญไปทั้งหมด 3 แสนกว่าล้านบาท
เมื่อระบายข้าวได้ เราก็จะสามารถส่งเงินคืนให้กระทรวงการคลัง 8.5 หมื่นล้านบาท ภายในปีนี้ และในปี 2556 จะสามารถคืนเงินให้กระทรวงการคลังอีกประมาณ 1 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่เกินปลายปี 2556 น่าจะสามารถคืนเงินให้กับกระทรวงการคลังได้มากถึง 2.4-2.5 แสนล้านบาท
ตรงนี้ชัดเจนว่าเงินงบประมาณที่เราเอามาใช้ในโครงการนี้นั้นไม่ได้หายไปไหน แม้จะมีภาระที่เราอาจจะต้องรับบ้างคือ ค่าใช้จ่ายและผลที่อาจจะขาดทุนได้ แต่ทั้งหลายทั้งปวงแล้วถึงอย่างไรก็คงจะไม่เกินกว่าเม็ดเงินที่รัฐบาลก่อน หน้านี้ได้ใช้ไปในแต่ละปี”
@ การป้องกันการทุจริตก็ต้องรัดกุม เพื่อยืนยันให้เกษตรกรสบายใจ
ผมก็สั่งการให้ทุกหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ รวมไปถึงข้าราชการทุกคนที่เกี่ยวข้องว่าประการแรก ต้องป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต โดยแต่ละจุดที่รับจำนำ จะต้องมีเจ้าหน้าที่จากธนาคารเพื่อการเกษตร (ธกส.) เจ้าหน้าที่จากองค์กรคลังสินค้า (อคส.) หรือเจ้าหน้าที่จากองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อตก.) ที่ดูแลโครงการนี้เป็นหลักมาดูแล
แล้วในฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ ที่กำลังเริ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ ก็ได้ให้เพิ่มสัดส่วนกรรมการจากเกษตรกรเป็น 2 คน และเพิ่มในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปประจำแต่ละจุด อีกจุดละ 1 คนเพื่อป้องกันไม่ให้โรงสีทุจริต และหากเกิดกรณีไม่เป็นธรรม หรือเกิดการทุจริตก็จะต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นม้าเร็ว ต้องไปถึงจุดรับจำนำที่มีปัญหาในระยะเวลาที่กำหนด
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้มีการใช้ระบบไอที เข้ามาใช้ในการตรวจสอบการดำเนินโครงการด้วย โดยจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด ทุกจุดที่มารับจำนำ ซึ่งศูนย์กลางจะอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ ที่สามารถเปิดภาพดูในแต่ละจุดว่าที่รับจำนำว่ามีการดำเนินการอย่างไร และหากมีการร้องเรียนเข้ามาก็จะสามารถจับภาพไปตรงนั้นได้เลย แล้วยังใช้ระบบดาวเทียมมาตรวจสอบพื้นที่การเพาะปลูกทั้งหมด เพื่อคำนวณปริมาณการผลิต และจะดูว่าสอดคล้องกับตัวเลขที่มีการขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการทั้งหมดทั้ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง เข้าด้วยกัน
ดังนั้นการทำงานก็จะมีความละเอียดมากขึ้น รวมทั้งจะมีการปรับรูปแบบของเอกสารในการทำงาน อาทิ ใบประทวน ที่มีรูปแบบที่มีความละเอียดมากขึ้น เพื่อป้องกันการทุจริต
การทุจริตนั้นเกิดขึ้นได้หลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นโรงสีโกงชาวนา หรือโรงสีร่วมกับชาวนา แต่ถามว่าแล้วรัฐบาลจะไปโกงชาวนาหรือไม่ ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะรัฐบาลต้องการให้เงินถึงมือชาวนาให้มากที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้นทุกขั้นตอนจะต้องมีการตรวจสอบเข้มข้นมากขึ้น
@ ข้าวที่ได้รับมาจากโครงการรับจำนำมีการระบายไปอย่างไร
ระบบการขายหรือระบายข้าวนั้น บางแห่งอาจจะต้องการของถูก ซึ่งก็เป็นไปได้ แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีตลาดอีกหลายแห่ง ที่ไม่สนใจเรื่องราคา มันจึงอยู่ที่ว่าเราจะเลือกตลาดกันอย่างไร
เรามีข้าวดีอยู่ในมือ ข้าวหอมมะลิไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ข้าวหอมมะลิที่มีถิ่นกำเนิดจากทุ่งกุลาร้องไห้ จะต้องมีราคาที่สูง เราจะไม่ขายข้าวหอมมะลิในราคาที่ต่ำแน่นอน ข้าวขาว ข้าวนึ่งไทย ก็จะมีตลาดเฉพาะของแต่ละอย่าง ฉะนั้นการดำเนินการทั้งหมด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ กำลังปรับแนวทางการทำตลาดข้าวเสียใหม่ โดยจะมีการกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิ ให้มีมากขึ้นกว่า 1 มาตรฐาน
ที่ผ่านมาข้าวหอมมะลิก็คือข้าวหอมมะลิ ซึ่งมีมาตรฐานเดียว แต่หลังจากนี้ไปข้าวหอมมะลิอาจจะมี 2 มาตรฐาน หรือ 3 มาตรฐาน เพื่อสร้างความแตกต่างของสินค้า เพื่อให้มีช่องทางการตลาดเพิ่มขึ้นและแตกต่างกัน
@ รัฐบาลมีแนวทางในการช่วยเหลือชาวนาอื่นๆ อีกอย่างไร
ขณะนี้เราได้เริ่มปรึกษาหารือกับ เวียดนาม กัมพูชา ลาวและพม่า เพื่อร่วมกันตั้ง “สมาพันธ์ประเทศผู้ผลิตข้าว” โดยในเบื้องต้นเห็นพ้องต้องกันครบถ้วนแล้ว ก็เหลือแค่ทำรายละเอียด และตั้งองค์กรร่วมกัน ภายใต้การร่วมมือของ กลุ่มประเทศภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งทั้ง 5 ประเทศนี้ถือว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก คือประมาณปีละ 16-17 ล้านตัน ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายทั้งโลกมีประมาณ 32 ล้านตันต่อปี กลุ่ม 5 ประเทศนี้จึงเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีศักยภาพ หากร่วมมือกันได้เราจะสามารถบริหารเรื่องปริมาณ คุณภาพ ราคา และบริหารตลาดได้
@ องค์กรดังกล่าว มีกำหนดที่จะเริ่มต้นได้เมื่อไร
เราเริ่มคุยกันมาแล้ว และครั้งล่าสุดได้มีการประชุมกันอีกครั้งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยความตั้งใจเราต้องการให้ผู้นำทั้ง 5 ประเทศ ได้จับมือเรื่องความตกลงตรงนี้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่ประเทศกัมพูชา จะมีการประชุม ASEAN Summit ซึ่งเราจะเร่งให้เร็วที่สุด หากไม่ทันก็อาจจะมีการขยับไปอีก 1-2 เดือน แต่หากเราเร่งให้มีการประกาศเรื่องความร่วมมือก็จะเป็นผลดีกับภูมิภาคและทั้ง 5 ประเทศนี้
@ องค์กรนี้คนไทยเรียกร้องกันมานาน
นับ 10 ปี ซึ่งก็เป็นเพราะการเมืองไทยไม่นิ่ง มันมีการเปลี่ยนรัฐบาลค่อนข้างบ่อย เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายก็เปลี่ยน คนที่มารับหน้าที่ต่อ หากไม่สนใจทำอะไร ตรงนี้ก็จะเงียบไป แต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้เคยได้พูดคุยกันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยแรกๆ ประมาณปี 2546-2547 เราก็พยายามสานต่อแนวความคิดตรงนี้ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถเดินไปได้
ผมได้พูดคุยกับรัฐมนตรีการค้าของทั้ง 5 ประเทศแล้ว นายกรัฐมนตรีเองก็ได้หารือกับระดับผู้นำทั้ง 5 ประเทศแล้ว แนวความคิดตรงกันทั้งหมดเหลือเพียงในระดับปฏิบัติจะดำเนินการให้มีความคืบ หน้า
@ หากองค์กรนี้ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้จะเป็นประโยชน์กับชาวนาไทยอย่างไร
ผมว่าไม่เฉพาะกับเกษตรกรไทยนะ เพราะทั้ง 5 ประเทศ ราคาข้าวจะขยับขึ้นแน่นอน แล้วก็จะมีความมั่นคงในอาชีพของตัวเอง และต่อไปชาวนาไม่ต้องขายนาเพื่อไปทำอาชีพอื่น เพราะจะสามารถทำนาปลูกข้าว แล้วมีรายได้เพิ่มขึ้นได้
