ตรวจเหตุผล “หนุน-ค้าน” เดินหน้าจำนำข้าว 1 สัปดาห์ หลัง "ปรากฎการณ์นิด้า"

เพียง 1 สัปดาห์ หลังนักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นำโดย “รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ เดินทางไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันพฤหัสที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ยับยั้ง “โครงการรับจำนำข้าว” เพราะเป็นการที่รัฐเข้าไปผูกขาดตลาดค้าข้าว ถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (1)
เหตุการณ์ดังกล่าว ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ออกมาแสดงจุดยืน “หนุน-ค้าน” ในการเดินหน้าโครงการจำนำข้าวต่อไป จนแทบจะกลายเป็น "ปรากฏการณ์" เพราะดาหน้าออกมาให้ความคิดเห็นทุกฝ่ายจริงๆ
ซึ่งหากตัดวาทกรรมทางการเมืองทิ้งไป เราจะพบว่าแต่ละฝ่ายต่างก็มี “เหตุผล” ในการสนับสนุนจุดยืนของตัวเอง ดังต่อไปนี้
(1) ฝ่ายสนับสนุน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อวันอังคารที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา
ถาม - คนได้ประโยชน์ไม่ใช่เกษตรกรแต่เป็นโรงสี
ตอบ - วันนี้การรับจำนำข้าวนั้นครอบคลุมจำนวนเกษตรกรเท่าไร อยากให้สื่อลงไปถามกับเกษตรกรในพื้นที่ ว่าเกษตรกรมีความต้องการอย่างไร และได้รับประโยชน์อย่างไร อยากให้มีการสอบถามไปถึงทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่า การจำนำข้าวทำให้รายได้ของเกษตรกรสูงขึ้น ซึ่งก็จะกลับมาเป็นภาพสะท้อนในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถาม - การรับจำนำในราคาที่สูงกว่าตลาดจะทำให้เกิดปัญหาในการระบาย
ตอบ - เราจะใช้วิธีระบายออกต่างประเทศหรือการขายแบบรัฐบาล (จีทูจี) ในราคาที่เหมาะสม โดยอ้างอิงจากราคาตลาด ยืนยันการระบายข้าว รัฐบาลไม่ได้หวังทำกำไร แค่เพียงลดภาระค่าใช้จ่าย
ถาม - มีการท้วงติงว่าตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์อ้างว่าทำสัญญาซื้อขายข้าวก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ตอบ - จะมีการแสดงตัวเลขการส่งออกข้าวได้ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบแล้วซึ่งถึงวันนี้ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ก็ยืนยันว่าจำนวนที่จำหน่ายได้มีการตกลงสัญญากันแล้ว แต่การส่งมอบเป็นการทยอยส่งไม่ได้ส่งครั้งเดียวทั้ง 7 ล้านตัน
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ insidethaigov.com เมื่อวันพุธที่ 3 ต.ค.ผ่านมา
ถาม - อะไรทำให้เชื่อว่าระบบจำนำดีกว่าระบบอื่น
ตอบ - อย่างแรกเลยคือ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรนั้นสูงขึ้นได้อย่างชัดเจน ชาวนาได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเม็ดเงินถึงมือ แม้จะไม่เอาข้าวมาจำนำในโครงการของรัฐบาล แต่ราคาข้าวในตลาดฤดูกาลเพาะปลูก 54/55 กระทั่งโรงซื้อหรือผู้ส่งออก จะวางราคาในราคาไม่ต่ำกว่าตันละ 1 หมื่นบาท
ข้อดีข้อต่อมา ก็คือ รัฐบาลยังมีข้าวอยู่ในสต็อก ที่สามารถเอาไปบริหารได้ ต่างกับโครงการประกันรายได้ ที่เสียเงิน 7-8 หมื่นบาท โดยไม่มีข้าวอยู่ในมือเลย โดยถึงวันที่ 30 ก.ย.2555 รัฐบาลมีข้าวเปลือกอยู่ในมือ 21 ล้านตัน แปรสภาพเป็นข้าวสารได้ 11 ล้านตัน
และเม็ดเงินที่ใช้ไปก็ไม่ได้สูญหมดทั้ง 3 แสนล้านบาท เพราะเมื่อระบายข้าวได้ ก็จะสามารถส่งเงินคืนให้กระทรวงการคลัง 8.5 หมื่นล้านบาท ภายในปีนี้ และในปี 2556 จะสามารถคืนให้อีก 1 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่เกินปลายปี 2556 น่าจะคืนได้มากถึง 2.4-2.5 แสนล้านบาท
ถาม - ข้าวที่ได้มาจะระบายอย่างไร
ตอบ - บางแห่งอาจจะต้องการของถูก แต่ยังมีตลาดอีกหลายแห่ง ที่ไม่สนใจเรื่องราคา จึงอยู่ที่เราว่าจะเลือกตลาดอย่างไร เรามีข้าวดีอยู่ในมือ ข้าวหอมมะลิไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เราจะไม่ขายข้าวหอมมะลิในราคาที่ต่ำแน่นอน ส่วนข้าวขาว ข้าวนึ่งไทย ก็จะมีตลาดเฉพาะของแต่ละอย่าง
นายโอฬาร ไชยประวัติ ประธานผู้แทนการค้าไทย แถลงข่าว เมื่อวันพฤหัสที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา
ถาม - รัฐบาลตั้งราคาจำนำข้าวไว้สูงเกินไปทำให้ระบายได้ยาก
ตอบ - ข้าวไทยมีทั้งข้าวหอมมะลิและข้าวเจ้าขาว เหตุที่รัฐบาลต้องตั้งราคาจำนำไว้สูง เพราะต้องการให้โรงสีและพ่อค้าเอกชน ตั้งราคาซื้อขาดจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าหรือใกล้เคียงราคารับจำนำ
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตข้าวหอมมะลิรายเดียวของโลก ไม่ว่าราคาข้าวจะเป็นเท่าไร ถ้าอยู่ในระดับพอเหมาะ ก็สามารถขายให้ต่างชาติได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ผู้บริโภคไทยจ่าย โดยราคาโมเดิร์นเทรดอยู่ที่ตันละ 35,000 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผู้ส่งออกเอกชนขายที่ตันละ 35,117 บาท
ถาม - แต่ที่ถูกติงว่าจะทำให้โครงการจำนำข้าวมีปัญหาคือข้าวเจ้าขาว
ตอบ - มีความพยายามจะนำเรื่องจำนำข้าวหอมมะลิกับข้าวเจ้าขาวมาปะปนกัน สาเหตุหนึ่งของความสับสน คือผู้ส่งออกบางรายเคยค้าข้าวคุณภาพต่ำโดยนำข้าวไทยและข้าวประเทศเพื่อนบ้านไปขายให้ประเทศผู้ซื้อที่มีประชากรมากและมีฐานะค่อนข้างยากจน ผู้ส่งออกเหล่านั้นจึงทำหน้าที่เป็น “เอเย่นต์” ของประเทศผู้ซื้อข้าว ไม่ใช่ของประเทศผู้ค้าข้าว
รัฐบาลไทยในอดีตบางรัฐบาลได้ช่วยเหลือผู้ส่งออกนั้น โดยการกดราคาข้าวเปลือกเจ้าให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ส่งออกอีกกลุ่มที่เห็นศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายข้าวคุณภาพสูงของไทย ให้กับประเทศที่มีรสนิยมในการบริโภคข้าวคุณภาพสูง มีประชากรรายได้สูงหลายร้อยล้านคน และอยากจะบริโภคข้าวคุณภาพดีจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพราะติดใจในคุณภาพข้าวของไทย
ข้าวไทยเป็นข้าวคุณภาพดี ข้าวขาว 5% ของไทยมีคุณภาพดีกว่าข้าวขาว 5% ของเวียดนาม จึงไม่ควรขายในราคาเดียวกัน เพราะไม่ใช่ตลาดเดียวกัน ประกอบกับสถานการณ์ตลาดโลกปัจจุบัน ผู้ส่งออกควรหันมาสนใจประเทศที่มีศักยภาพในการซื้อสูง มีความต้องการสินค้าคุณภาพอย่างข้าวหอมมะลิของไทย อย่าง ประเทศจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น ประเทศในแถบตะวันออกกลาง และประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ผู้แทนการค้าไทยทำงานร่วมผู้ส่งออกข้าวที่สนใจอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินการเปิดตลาดค้าขายข้าวใหม่กับประเทศที่มีรายได้ดี และมีความต้องการที่จะซื้อขายข้าวคุณภาพดีกับไทย พร้อมพัฒนาสัมพันธภาพในระยะยาว โดยเน้นที่คุณภาพและมูลค่าการส่งออกเป็นหลัก
(2) ฝ่ายคัดค้าน
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวอิศรา เมื่อวันอังคารที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา
เสียหายอันดับหนึ่ง ด้านการคลังรัฐบาลต้องใช้เงินเยอะมาก (ในโครงการจำนำข้าว) ปีละ 3 แสนล้านบาท เพื่อจำนำข้าวทุกเมล็ด ซึ่งปีหน้าจะใช้เงินมากกว่านี้อีก ปีใหม่นี้อีก 3 แสนล้าน น่าจะขาดทุนแสนกว่าล้าน ถามว่าเกษตรกรได้เงินไปจริงเท่าไร ได้ไปตรงๆ นี้ 5 หมื่นล้านต้นๆ แต่ขาดทุนแสนกว่าล้าน
เสียหายอันดับสอง คือส่งออกตาย เห็นชัด เพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาขายข้าวได้หมด ขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จนแล้วจนรอด ถามว่าขายได้กี่แสนตัน น้อยมาก ที่บอกว่าเซ็น MOU ได้จำนวนมาก 4 สัญญา ก็ไม่เคยมีการเปิดเผยสัญญา และตัวเลขที่พยากรณ์ก็รู้ว่าคงไม่ได้ขายปีนี้หรอก เพราะตัวเลขจากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา เขาก็คำนวณออกมา บอกให้เรารู้ว่ารัฐบาลต่างประเทศที่ซื้อจีทูจี ปีที่ผ่านมาเขาซื้อข้าวไปหมดแล้ว
ผลกระทบด้านอื่นๆ ว่า มีถึง 3 เด้ง 1.นโยบายนี้จะทำให้เกษตรกรแห่กับปลูกข้าว ไปลดพื้นที่ปลูกอ้อยและพืชอื่นๆ ลง โดยปลูกข้าวอายุสั้น เพื่อให้ได้ผลผลิตเร็วๆ ทำให้ได้ข้าวคุณภาพต่ำ 2.โรงสีที่จะเข้าร่วมโครงการ ก็ต้องใช้เส้นสายทางการเมือง เพราะปัจจุบันมีโรงสีมืออาชีพกว่า 2,000 โรงสีชุมชนหรือโรงสีขนาดเล็กอีก 50,000 โรง แต่เข้าโครงการได้ไม่ถึง 1,000 โรง และ 3.มีบางคนขี้โกง ส่งข้าวเข้าคลังรัฐบาลแบบขาดน้ำหนัก หรือเอาข้าวตัวเองมาแลก เอาข้าวดีไป เอาข้าวไม่ดีส่งคลัง ซึ่งเป็นการโกงประชาชนโดยตรง
ส่วนที่ขาดทุนนี่ (ปีละแสนล้านบาท) ต่อไปถ้าเศรษฐกิจโต 7% ก็มีเงินมาชดเชยได้ แต่ถ้าขาดทุนแสนล้านบาททุกปี ผมก็เกรงว่าจะนำประเทศไปสู่วิกฤต 2 วิกฤต คือ 1.วิกฤตการคลัง และ 2.วิกฤตข้าวไทย อนาคตข้าวไทยเสียหายโดยสิ้นเชิง
รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า แถลงเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว
หลักในการจำนำที่ถูกต้องจะต้องให้ราคาจำนำที่ต่ำกว่าราคาตลาดในระดับที่เหมาะสม เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรไถ่ถอนคืนเพื่อนำไปขายในตลาดเมื่อราคาข้าวสูงขึ้น แต่โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนี้ จงใจตั้งราคารับจำนำให้สูงกว่าราคาตลาดอย่างชัดแจ้ง โดยไม่ได้มีเจตจำนงหรือคาดการณ์ให้เกษตรกรไถ่ถอนคืนแต่อย่างใด
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่การรับจำนำ แต่เป็นการทำตัวเป็นพ่อค้าข้าวรายใหญ่ที่สุดรายเดียวของประเทศ เป็นการผูกขาดตัดตอนที่ทำลายระบบการค้าของไทยที่อาศัยกลไกตลาดที่มีประสิทธิภาพ และยังส่งผลต่อระบบการผลิตข้าวที่บิดเบือนกลไกตลาดด้วย
โครงการดังกล่าวมีเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ 1.2 ล้านครัวเรือน จาก 3.7 ล้านครัวเรือน โรงสีที่เข้าร่วมโครงการ นาปี 2554/55 รวม 925 แห่ง นาปรัง 2555 รวม 858 แห่ง ผู้ให้บริหาร เช่น ผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ผู้ประกอบการไซโล เหล่านี้คือผู้ได้รับประโยชน์ แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ผู้ประกอบการตลาดกลางท่าข้าว สหกรณ์การเกษตร โรงสีขนาดเล็กในชุมชนที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ หยง (ผู้ประสานงานติดต่อ) ผู้ส่งออกและเกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์
ไม่ได้มีความต้องการให้รัฐบาลยุติโครงการ แต่รัฐบาลต้องลดราคาจำนำให้ใกล้เคียงกับราคาตลาด และจำกัดปริมาณและมูลค่าที่รับจำนำต่อครัวเรือน รวมทั้งส่งเสริมเกษตรกรให้มีความสามารถในการจัดการไร่นา เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่
นอกเหนือจากความสูญเสียกว่าแสนล้านบาทจากการดำเนินโครงการแล้ว ยังเป็นการวางระเบิดเวลาให้แก่โครงการภาคเกษตรทั้งระบบอีกด้วย ทางนิด้าจึงขออาสามาขอให้ยับยั้งหรือยุติโครงการดังกล่าวเป็นอันดับต้นๆ
นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันอังคารที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา
ผมไม่เห็นด้วยกับโครงการจำนำข้าวมาตั้งแต่แรกเริ่มโครงการ แล้ว โดยตนเองได้เคยเขียนบทความเรื่องดังกล่าวเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยเตือนว่าโครงการดังกล่าวอันตรายที่สุด และได้ถ่ายเอกสารให้นายกรัฐมนตรี พร้อมเสนอแนะไปว่าไม่ควรทำ
ถ้ารัฐบาลชุดนี้จะพังก็คงเป็นเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เพราะแค่ชื่อโครงการจำนำก็ผิดแล้ว ซึ่งราคาจำนำต้องต่ำกว่าราคาจริง แต่การให้ราคาจำนำสูงกว่า คงไม่มีใครมาไถ่ถอน ข้าวที่มาจำนำก็มีทั้งของจริงและสต็อกลม ไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้
แล้วถ้ารัฐยังขายข้าวไม่ได้ ก็จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงมาก เรื่องนี้ตนเองได้บอกให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปแล้ว
(3) ฝ่ายอื่นๆ อาทิ เสนอให้ปรับปรุงโครงการ
นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ อดีตรองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ (ธ.ก.ส.)กล่าวกับศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา เมื่อวันจันทร์ที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
ข้อเท็จจริงปัจจุบันนี้ เกษตรกรยังมีความต้องการโครงการรับจำนำข้าวอยู่ ขณะนี้ยังขาดไม่ได้ เนื่องจากได้ราคาดี หากมีการยกเลิกกะทันหันจะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม จากนี้รัฐบาลควรฟังเสียงทั้งเกษตรกร นักวิชาการและสมาคมที่เกี่ยวข้อง แล้วปรับโครงการให้ดีขึ้น โดยที่เชิญชาวนาและสมาคมชาวนาเข้ามาหารือ เพื่อทำความเข้าใจและหาแนวทางที่เป็นทางออกที่ดีร่วมกัน
แนวทางที่ควรจะเป็นหลังจากนี้ รัฐบาลควรกำหนดราคาใหม่ให้เหมาะสม ปรับปรุงการระบายใหม่ ให้มีวิธีที่ไม่เป็นภาระต่อภาคส่วนใด ในส่วนวิธีการรับจำนำจะต้องไม่มีให้เกิดการรั่วไหล หรือมีช่องโหว่ให้พ่อค้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องหาประโยชน์จากชาวนาได้
