ความยอกย้อนของกฎหมายล้างมลทิน
ความยอกย้อนของกฎหมายล้างมลทิน

1.การลาออกของคุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ จากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และต่อมาได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมนี้เอง นับว่าเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ควรได้รับการยกย่องว่าได้กระทำไปเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือต่อตำแหน่งราชการ และตำแหน่งผู้นำทางการเมืองของไทย
สาเหตุของการลาออกจากตำแหน่งของคุณยงยุทธนั้น ตามคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัว ให้เหตุผลไว้ว่า เพื่อแก้ปัญหาการครหาในทางจริยธรรม และการวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยอันเป็นที่รักของคุณยงยุทธเอง ซึ่งแม้เจ้าตัวจะยืนยันว่า หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นกฤษฎีกาหรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ต่างก็ยืนยันว่าท่านเองได้รับการล้างมลทิน แล้ว เหตุในทางกฎหมายจึงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ท่านตัดสินใจลาออก
แต่การได้รับประโยชน์จากการล้างมลทินในแง่มุมกฎหมายตามที่หัวหน้าหน่วยงานทั้งสอง ยืนยันนั้น ในทัศนะของคุณยงยุทธเองก็ยอมรับเสมือนว่า จะกลับกลายมาเป็นโทษ เป็นมลทินให้เกิดข้อครหาทางการเมืองต่อการดำรงตำแหน่ง ส.ส. และหัวหน้าพรรค อันจะทิ่มแทงพรรคเพื่อไทยไปด้วย ดังนั้นท่านจึงชิงลาออกเสีย เพื่อพรรคจะได้ไม่ต้องตกเป็นเป้าให้วิพากษ์วิจารณ์
ผู้เขียนจึงรู้สึกยกย่องและขอคารวะอย่างจริงใจต่อการตัดสินใจของคุณยงยุทธครั้งนี้
2.แต่ในฐานะเป็นผู้ที่สนใจปัญหากฎหมายคนหนึ่ง ก็ยังอดใจสงสัยปัญหาเรื่องผลการล้างมลทินในแง่กฎหมายต่อไปไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าจะส่งผลทางการเมืองยอกย้อนไปมาในแง่สามัญสำนึก จนในที่สุดแม้จะมีหัวหน้าหน่วยงานสำคัญของรัฐอย่างกฤษฎีกา และ ก.พ. ออกมายืนยันว่าคุณยงยุทธได้รับประโยชน์จากล้างมลทินครั้งนี้แล้ว และไม่กระทบต่อการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของคุณยงยุทธแต่อย่างใด ก็ไม่อาจหยุดยั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ลุกลามกว้างขวางไปในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดมลทินทางการเมืองอย่างอื่นแก่พรรคเพื่อไทยตามมา จนเป็นเหตุให้คุณยงยุทธต้องตัดสินใจลาออกเพื่อปกป้องชื่อเสียงและความน่า เชื่อถือของพรรคเพื่อไทยอีกชั้นหนึ่ง
2.1 ข้อสงสัยในแง่กฎหมายที่ส่งผลรบกวนสามัญสำนึกนี้ ไม่ว่าผู้สงสัยจะเข้าใจความยอกย้อนของมันกระจ่างหรือไม่ก็ตาม น่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 3 ประการ
ก) ข้อสงสัยประการแรก ที่สามัญชนทั้งหลายอาจยกขึ้นถามหาคำตอบก็คือ ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่เลขาธิการกฤษฎีกา และเลขาธิการ ก.พ. ยืนยันว่า การที่คุณยงยุทธถูก อ.ก.พ. กระทรวงมีมติตามผลการชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงของ ป.ป.ช. โดย อ.ก.พ. มหาดไทยมีมติให้ปลดคุณยงยุทธออกจากราชการเมื่อ 21 กันยายน 2555 โดยให้มีผลย้อนหลังกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน คือย้อนหลังไปมีผลในวันสุดท้ายของการรับราชการในฐานะปลัดกระทรวงมหาดไทยของคุณยงยุทธ อันเป็นการปลดออกจากราชการในวันที่ต้องออกจากราชการเพราะเกษียณอายุเมื่อ 30 กันยายน 2545 มันก่อให้เกิดปัญหาสองมาตรฐานหรือเปล่า?
มีการอธิบายกันว่า การปลดย้อนหลังครั้งนี้ ย่อมจะมีผลเท่ากับคุณยงยุทธถูกลงโทษก่อนมีพระราชบัญญัติล้างมลทิน พ.ศ. 2550 และย่อมส่งผลต่อไปให้คุณยงยุทธได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน คือกฎหมายกำหนดให้ถือว่าคุณยงยุทธไม่เคยได้รับโทษทางวินัยในกรณีนั้น
ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้อธิบายต่อไปว่า เมื่อกฎหมายถือว่าคุณยงยุทธไม่เคยได้รับโทษทางวินัย ดังนั้นจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรตามมาตรา 102 (6) เพราะเหตุที่เคยถูกปลดออกจากราชการเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
คำอธิบายนี้ฟังดูดี และมีผู้อ้างกันอย่างกว้างขวาง แม้ในหมู่ผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย แต่ถ้าไตร่ตรองให้ดี ก็ยังมีข้อน่ากังขาอยู่
เพราะหากสมมติเอาว่ากรณีที่คุณยงยุทธถูกกล่าวหานั้น ไม่ได้เป็นการกระทำของคุณยงยุทธเพียงคนเดียว แต่ว่ามีผู้อื่นร่วมกระทำด้วย โดยผู้ร่วมกระทำผิดนั้นยังมีอายุราชการต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยผู้นั้นยังไม่ครบเกษียณอายุเสียก่อน และถูก ป.ป.ช. ชี้มูลว่ากระทำผิดในกรณีเดียวกัน ดังนี้ อ.ก.พ. ก็จะต้องมีมติให้ลงโทษสถานเดียวกัน คือปลดออกเหมือนกัน แต่เนื่องจากผู้ร่วมกระทำผู้นี้ยังไม่พ้นจากราชการด้วยเหตุเกษียณอายุ ก็ไม่มีเหตุให้สั่งลงโทษให้มีผลย้อนหลังไปในอดีต ปัญหาก็คือเมื่อมีการสั่งลงโทษในปัจจุบัน ผลก็จะกลายเป็นว่า ข้าราชการผู้นี้จะต้องถูกปลดออกจากราชการใน พ.ศ. 2555 และไม่มีทางได้รับประโยชน์จากการล้างมลทินที่เสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2550
การณ์ก็จะกลายเป็นว่า หากถือตามความเห็นที่ว่าคุณยงยุทธได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน เพราะถูกลงโทษย้อนหลังกลับไปในปี 2545 เราก็จะพบว่าในการกระทำกรณีเดียวกันนี้ ถ้ามีผู้ร่วมกระทำความผิดอีกคนที่ยังอยู่ในราชการ ผลจะต่างกันโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกลงโทษโดยเสมอภาคกัน เกิดภาวะสองมาตรฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข) ข้อสงสัยประการต่อมา เป็นข้อสงสัยในเชิงขอบเขตการใช้บังคับของกฎหมายล้างมลทิน ซึ่งต่างจากกฎหมายอื่นโดยทั่วไปตรงที่กฎหมายอื่นนั้น โดยทั่วไปมุ่งต่อการใช้บังคับในอนาคต คือใช้กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังการประกาศใช้กฎหมายเป็นต้นไป แต่กฎหมายล้างมลทินเป็นกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษตรงที่เป็นกฎหมายที่มุ่งบังคับใช้ย้อนหลัง คือมิได้มุ่งใช้แก่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังการประกาศใช้กฎหมาย เหมือนกฎหมายอื่นทั่วไป แต่มุ่งใช้บังคับกับข้อเท็จจริงหรือมลทินที่เกิดขึ้นก่อนประกาศใช้กฎหมายนั้น คือมุ่งใช้แก่การลงโทษหรือมลทินตามข้อเท็จจริงที่เกิดก่อนนั้น โดยมุ่งใช้ในทางเป็นคุณ คือล้างมลทิน ไม่ใช่กฎหมายย้อนหลังในทางเป็นโทษ จึงไม่เป็นกฎหมายที่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อกฎหมายล้างมลทินมุ่งใช้บังคับกับข้อเท็จจริงอันได้แก่การลงโทษหรือมลทินที่เกิดขึ้นจริงๆ ก่อนหรือในวันที่กฎหมายล้างมลทินบังคับใช้เท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้กับกรณีแก่การลงโทษแบบสมมติย้อนหลังโดยไม่มีการลงโทษตามข้อเท็จจริง กรณีคุณยงยุทธ ซึ่งเป็นกรณีที่ อ.ก.พ. มหาดไทยมีมติให้ลงโทษภายหลังกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ จึงย่อมเป็นกรณีนอกเหนือความมุ่งหมายของกฎหมายล้างมลทิน เพราะการที่ อ.ก.พ. มีมติในเดือนกันยายน 2555 ให้การลงโทษมีผลย้อนหลังไปเป็นผลในวันที่ 30 กันยายน 2545 ก็เป็นการลงโทษโดยเป็นมลทินในทางสมมติ ไม่ได้เป็นการลงโทษหรือมลทินตามข้อเท็จจริง จึงต้องถือว่าการลงโทษเกิดขึ้นและมีผลในปี 2555 ไม่ใช่เกิดขึ้นในปี 2545
กรณีนี้คุณยงยุทธ ในฐานะผู้ถูกลงโทษในปัจจุบันจึงต้องรับผลของโทษนั้นตามข้อเท็จจริง โดยไม่มีทางได้ประโยชน์จากการล้างมลทิน ที่มุ่งใช้กับการลงโทษหรือมลทินอันเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องเกิดขึ้นก่อนหรือ ในวันที่กฎหมายล้างมลทินมีผลบังคับเท่านั้น ไม่รวมการลงโทษที่เป็นผลในทางสมมติให้เป็นผลย้อนหลังได้เลย โดยนัยนี้ หากมีผู้ร่วมกระทำผิดที่ยังไม่เกษียณอายุ และถูกลงโทษในปัจจุบัน ทั้งคุณยงยุทธ และผู้ร่วมกระทำผิดย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากการล้างมลทินเหมือนๆ กัน
การตีความกฎหมายล้างมลทินเช่นนี้จึงจะทำให้กฎหมายล้างมลทินมีผลสอดคล้องกับความ มุ่งหมายของกฎหมาย และสอดคล้องกับหลักความเสมอภาค ไม่เกิดความลักลั่นว่า คนหนึ่งได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน โดยถือว่าไม่เคยถูกลงโทษ ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้รับโทษเต็มๆ
ค) ข้อสงสัยประการที่สาม ก็คือข้อสงสัยเกี่ยวกับข้ออ้างของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่อ้างความเห็น ของคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อราว 30 ปีก่อน คือความเห็นตามเรื่องเสร็จที่ 440/2526 ซึ่งสรุปไว้ว่า หากข้าราชการผู้ใดกระทำผิดและถูกสอบสวนลงโทษวินัยก่อนมีกฎหมายล้างมลทิน หากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งลงโทษทางวินัยภายหลังจากที่มีการประกาศใช้พระราช บัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ. 2526 แล้ว และผลของคำสั่งลงโทษนั้นทำให้ข้าราชการผู้นั้นได้รับโทษก่อนหรือในวันที่พระ ราชบัญญัติล้างมลทินใช้บังคับ ข้าราชการผู้นั้นย่อมอยู่ในข่ายผู้ได้รับการล้างมลทินด้วย ดังนี้ความเห็นนี้ จะไม่เป็นความเห็นที่ขัดต่อหลักการของกฎหมายล้างมลทินที่มุ่งใช้กับการลงโทษ อันเป็นข้อเท็จจริงหรือ?
ต่อความเห็นเรื่องนี้ ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่า ข้อเท็จจริงในกรณีนี้มีว่า ข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยนั้น ได้ถูกสอบสวนและ อ.ก.พ. กระทรวงได้มีมติปลดออกจากราชการแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่ประกาศใช้กฎหมายล้างมลทิน เพียงแต่ผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งลงโทษปลดออกจากราชการตามมติ อ.ก.พ. ภายหลังจากที่ได้มีกฎหมายล้างมลทินบังคับใช้แล้ว และโดยที่ข้าราชการผู้นั้นพ้นเกษียณอายุราชการไปแล้วก่อนวันที่กฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจึงออกคำสั่งลงโทษโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออก จากราชการ
กรณีดังกล่าวนี้ ควรตราไว้ว่า เป็นกรณีที่ อ.ก.พ. กระทรวงมีมติลงโทษแล้วตั้งแต่ก่อนกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาแม้จะออกคำสั่งลงโทษในภายหลัง ก็ย่อมไม่ออกคำสั่งเป็นอื่นต่างไปจากที่ อ.ก.พ. กระทรวง ลงมติไว้แล้ว ดังนี้จึงต้องถือว่าการลงโทษได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ก่อนประกาศใช้กฎหมายล้าง มลทิน แต่มาดำเนินการเสร็จสิ้นหลังประกาศใช้กฎหมายล้างมลทิน ดังนั้นจึงเป็นกรณีที่แน่นอนว่าบุคคลนั้นถูกลงโทษแน่นอนเด็ดขาดไปแล้ว และผู้ถูกลงโทษในกรณีนี้จึงควรได้ประโยชน์จากการล้างมลทิน
กรณีของคุณยงยุทธ จึงจะนำมาเทียบกับกรณีตามความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ 440/2526 นี้ไม่ได้ เพราะกรณีของคุณยงยุทธนั้น อ.ก.พ. กระทรวงเพิ่งจะลงมติลงโทษหลังจากที่กฎหมายล้างมลทินบังคับใช้แล้วถึง 5 ปี ผู้เขียนเห็นว่าการที่เลขาธิการกฤษฎีกาหยิบยกเรื่องนี้มากล่าวอ้างในทางเป็นคุณกับคุณยงยุทธจึงน่าจะเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน
แต่ก็ยังมีอีก กรณีหนึ่ง ซึ่งเป็นกรณีที่ดูเหมือนว่ารองเลขาธิการกฤษฎีกาจะอ้างถึง คือความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามเรื่องเสร็จที่ 490/2535 และเป็นเรื่องที่คล้ายคลึงกับกรณีคุณยงยุทธยิ่งกว่า
เรื่องมีอยู่ว่า นายตำรวจท่านหนึ่งละทิ้งราชการไปตั้งแต่เดือนกันยายน 2525 และไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลยจน พ.ศ. 2527 กรมตำรวจตั้งกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่า นายตำรวจผู้นั้นละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 15 วันโดยไม่มีเหตุผลสมควร เป็นผิดวินัยร้ายแรง และต่อมาอีก 6 ปี กรมตำรวจสั่งให้ไล่ออกจากราชการเมื่อ พ.ศ. 2533 โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการในเดือนกันยายน 2525 ต่อมานายตำรวจผู้นี้ขอกลับเข้ารับราชการใหม่ใน พ.ศ. 2535 กรมตำรวจเห็นว่าหากเป็นผู้ถูกไล่ออกจากราชการย่อมขาดคุณสมบัติทั่วไปที่จะบรรจุกลับเข้ารับราชการ แต่โดยที่บุคคลผู้นี้อาจได้รับประโยชน์จากการล้างมลทินเนื่องในวโรกาสที่พระ เจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุ 60 พรรษา เมื่อ พ.ศ. 2530 จึงหารือมายังคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าบุคคลดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากการล้าง มลทินด้วยหรือไม่
กรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ลงความเห็นว่านายตำรวจผู้นี้อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการล้างมลทิน เพราะเมื่อถูกไล่ออกจากราชการย้อนหลังไปตั้งแต่เดือนกันยายน 2525 จึงถือว่าได้รับโทษไปแล้วก่อนวันที่กฎหมายล้างมลทินจะใช้บังคับในปี 2530 จึงเป็นผู้อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการล้างมลทินตามกฎหมาย
ควรสังเกตว่า ตามแนววินิจฉัยนี้ ถือว่าผู้ถูกดำเนินการทางวินัยได้รับโทษไปแล้ว ทั้งๆ ที่การที่คำสั่งมีผลย้อนกลับไปในอดีตนั้น ในทางข้อเท็จจริงเป็นการลงโทษในเวลาที่ออกคำสั่งทั้งสิ้น แต่หากเราจะลองไตร่ตรองดูให้ลึกลงไป โดยเทียบกับกรณีที่ข้าราชการผู้นั้นประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น แต่กลับสำนึกผิดและรายงานความผิดของตนต่อผู้บังคับบัญชา จึงถูกดำเนินการทางวินัยและถูกตัดสินว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง จนถูกลงโทษหลังวันที่มีกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ ดังนี้เขาย่อมไม่เข้าเกณฑ์ล้างมลทิน และไม่ได้รับประโยชน์จากการล้างมลทินเลย
แต่ในทางกลับกัน หากผู้กระทำผิดนั้นปกปิดความผิดของตัว แล้วละทิ้งราชการไปตั้งแต่ก่อนจะมีกฎหมายล้างมลทิน ครั้นต่อมาหากผู้นั้นถูกลงโทษให้ออกจากราชการย้อนหลังไปถึงวันที่ละทิ้งหน้าที่ การณ์ก็จะกลายเป็นว่าเขากลับได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน
ความยอกย้อนเช่นนี้จึงนับเป็นสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในระบบกฎหมาย และเป็นปัญหากฎหมายที่ควรจะหยิบยกขึ้นพิเคราะห์หาข้อยุติที่เหมาะสม ดังจะเห็นได้จากความเห็นกฤษฎีกาตามเรื่องเสร็จที่ 234/2552 ที่จะกล่าวต่อไปข้างหน้า
2.2 อนึ่ง นอกจากกรณีความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาข้างต้นแล้ว ยังมีปัญหาขอบเขตบังคับของกฎหมายล้างมลทินอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะความเห็นตามเรื่องเสร็จที่ 675/2551 ซึ่งขยายความต่อจากความเห็นที่ 440/2526 ต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่า หากการดำเนินการของผู้บังคับบัญชาเสร็จสิ้นไปแล้ว แม้มีการประกาศใช้กฎหมายล้างมลทิน หากการดำเนินการของ ป.ป.ช. ยังไม่เสร็จ จะถือว่ากระบวนการทางวินัยเสร็จสิ้นยังไม่ได้ และเมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าในเวลาต่อมาว่าผิด ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยนั้นย่อมไม่ได้ประโยชน์จากกฎหมายล้างมลทิน
แต่ในปีถัดมาคณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีความเห็นตามเรื่องเสร็จที่ 234/2552 ซึ่งวางหลักกลับเสียใหม่ว่า หากผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยสิ้นสุดโดยลงโทษ หรือสั่งยุติเรื่องไปแล้ว หากมีการประกาศใช้กฎหมายล้างมลทิน ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยย่อมได้ประโยชน์จากกฎหมายล้างมลทิน ดังนั้นหาก ป.ป.ช. จะชี้มูลว่าผิดวินัยร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาก็ต้องผูกพันตามกฎหมายล้างมลทินโดยไม่อาจดำเนินการทางวินัย ต่อบุคคลนั้นได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดี ในความเห็นเรื่องเดียวกันนี้เองคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้วางหลักต่อไปด้วยว่า หากผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษแล้ว แต่ยังไม่ทันได้รับโทษ ปรากฏว่า ป.ป.ช. ชี้มูลว่าทำผิดวินัยร้ายแรง แต่ระหว่างที่ผู้บังคับบัญชายังดำเนินการตามมติของ ป.ป.ช. ไม่แล้วเสร็จ คือยังไม่มีการลงโทษนั้น เกิดมีการประกาศใช้กฎหมายล้างมลทิน ข้าราชการผู้นั้นย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายล้างมลทิน เพราะยังไม่ได้รับโทษตามเงื่อนไขของการล้างมลทิน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ในกรณีที่เป็นการชี้มูลโดย ป.ป.ช. คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงถือหลักว่ากฎหมายล้างมลทินจะมีผลในทางเป็นคุณแก่ผู้ถูกลงโทษทางวินัยได้ เฉพาะกรณีที่มีการลงโทษตามข้อเท็จจริงแล้วเท่านั้น ต่างจากกรณีความเห็นในเรื่องเสร็จที่ 440/2526 ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นก่อนจะมีกฎหมาย ป.ป.ช.
ดังนั้นในกรณีที่ข้าราชการที่จะถูกลงโทษนั้นพ้นเกษียณอายุไปแล้ว หากมีการสั่งลงโทษให้เป็นผลย้อนหลังไปถึงวันเกษียณ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวันก่อนหรือหลังวันที่ ป.ป.ช. ชี้มูล ถ้ามีกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับก่อนวันที่ออกคำสั่งลงโทษ แต่หลังวันที่โทษเป็นผลย้อนหลัง ดังนี้ผู้ถูกลงโทษโดยให้เป็นผลย้อนหลังนั้น ไม่ควรได้รับประโยชน์จากการชี้มูลย้อนหลังไปด้วย เพราะหากยอมให้เป็นเช่นนั้น ก็จะเกิดปัญหาความเสมอภาคในการลงโทษดังที่กล่าวแล้วในข้อแรกตามมาทันที
2.3 หลังจากกรณีตามเรื่องเสร็จที่ 234/2552 แล้ว ยังมีความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาตามเรื่องเสร็จที่ 468-469/2552 ตามมาอีกฉบับหนึ่งซึ่งยืนยันแนวความเห็นก่อนนี้ และเพิ่มเติมต่อไปว่า การดำเนินการทางวินัยตามระเบียบราชการต่างจากการดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งมิได้มุ่งเพียงดำเนินการทางวินัย แต่ยังคลุมไปถึงการชี้มูลความผิดทางอาญาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย และในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัย ก็ต้องตีความและใช้กฎหมายทั้งสองฉบับควบคู่กันให้เข้ากันได้ โดยต้องไม่ตีความให้เกิดผลในทางขัดกันหรือปฏิบัติไม่ได้
ดังนั้นใน กรณีที่การดำเนินการทางวินัยตามระเบียบราชการจะสิ้นสุดลงแล้ว หากยังไม่มีกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ และต่อมา ป.ป.ช. ชี้มูลทางวินัย กฎหมาย ป.ป.ช. ย่อมมีฐานะเป็นกฎหมายพิเศษที่ต้องมาก่อนกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยตามระเบียบราชการ ในกรณีนี้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกชี้มูลทางวินัยก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. ต่อไป
แต่หากการดำเนินการทางวินัยตามระเบียบราชการสิ้นสุดลงแล้ว และมีการประกาศใช้กฎหมายล้างมลทินบังคับระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. แต่ก่อนที่ ป.ป.ช. จะทำการชี้มูลทางวินัย ดังนี้ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยย่อมได้ประโยชน์จากการล้างมลทินไปแล้ว กรณีนี้ต้องถือว่า กฎหมายล้างมลทินเป็นกฎหมายพิเศษของกฎหมาย ป.ป.ช. เมื่อการดำเนินการทางวินัยสิ้นสุดและเข้าเงื่อนไขการล้างมลทิน ก็ย่อมเป็นเหตุให้ ป.ป.ช. ไม่มีมูลที่จะใช้อำนาจชี้มูลผิดวินัยอีกต่อไป ดังนั้นหาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัย ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกชี้มูลย่อมต้องผูกพันตามกฎหมายล้างมลทิน และไม่อาจดำเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้นได้อีกต่อไป
ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลทางวินัยก่อนการประกาศใช้กฎหมายล้างมลทิน หากเป็นกรณีที่ผู้ถูกชี้มูลยังไม่ได้รับโทษ กรณีก็ต้องเป็นไปตามความเห็นกฤษฎีกาที่ 234/2552 คือไม่เข้าเงื่อนไขการล้างมลทินซึ่งต้องได้รับโทษไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วน จึงจะได้รับประโยชน์จากการล้างมลทิน
3.อย่างไรก็ตาม ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาตามที่ปรากฏในเรื่องเสร็จหลายฉบับที่ทยอยให้ ไว้ในกรณีต่างๆ นั้น เท่าที่ผู้เขียนเข้าใจ ยังคงยืนยันหลักในข้อที่ว่า กฎหมายล้างมลทินจะล้างมลทินให้เฉพาะกรณีที่มีการดำเนินการทางวินัยสิ้นสุด หรือมีการลงโทษตามข้อเท็จจริงไปก่อนประกาศใช้กฎหมายล้างมลทินทั้งสิ้น
กรณีของคุณยงยุทธ ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่มีการดำเนินการทางวินัยตามระเบียบราชการมาก่อน และ ป.ป.ช. ชี้มูลผิดวินัยหลังกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ แม้ผู้บังคับบัญชาจะสั่งลงโทษย้อนหลังกลับไปให้เป็นผลก่อนวันที่กฎหมายล้าง มลทินใช้บังคับ ก็ไม่เข้าเงื่อนไขการล้างมลทินตามกฎหมายล้างมลทิน และไม่อาจเป็นทางให้คุณยงยุทธได้รับประโยชน์ดังที่หัวหน้าหน่วยงานสำคัญ คือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนได้ทำหนังสือชี้แจง
หากจะขืนเดินไปตามทางที่ท่านทั้งสองได้ชี้ไว้ ก็เห็นจะมีแต่ทำให้กฎหมายเรรวน และเกิดความไม่เสมอภาคในการลงโทษดังที่ได้กล่าวไว้
ดังนั้น การลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.และหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของคุณยงยุทธ จึงควรได้รับการยกย่อง ทั้งในแง่การเมือง และในแง่จริยธรรม และเป็นที่น่ายกย่องว่าไม่แข็งขืนไปในทางที่ไม่เพียงแต่จะถูกครหาในแง่ กฎหมาย แต่อาจจะชักนำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองแก่คนรอบข้างอีกด้วย
-หมายเหตุ นายกิตติศักดิ์ ปรกติ เป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
