คำต่อคำ:ตอบโจทย์ ชำแหละปม “ไร่ส้ม” ...บรรทัดฐานสื่อนายทุน?
ถอดเทปรายการ "ที่นี่ตอบโจทย์" ชำแหละปม “ไร่ส้ม” เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา

ค่ำวันศุกร์ที่ 5 ต.ค. วันเดียวกับที่ “นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา” พิธีกรชื่อดัง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ร่อนจดหมายลาออกจากการเป็นสมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้เผยแพร่รายการที่นี่ตอบโจทย์ ตอน "ไร่ส้มและสรยุทธ บรรทัดฐานสื่อ...บรรทัดฐานสังคม" โดยมีแขกรับเชิญ ได้แก่ นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.สถาบันอิศรา นายสนธิญาณ ชื่อฤทัยในธรรม ผอ.สำนักข่าวทีนิวส์ และอนุกรรมการสอบสวนฯ ป.ป.ช และ ม.ล.ผกาแก้ว บุญเลี้ยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการกำกับตลาดทุน สำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ทำงานด้านบรรษัทธรรมภิบาล
เพื่อพิจารณากรณี “นายสรยุทธ-บริษัท ไร่ส้ม” จำกัด ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท ยักยอกเงินโฆษณาจากการจัดรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ในสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ระหว่างปี 2548-2549 เป็นเงิน 238 ล้านบาท
ดำเนินรายการโดย น.ส.ณัฏฐา โกมลวาทิน
ช่วงต้นรายการ น.ส.ณัฎฐา ระบุว่า รายการตอบโจทย์ได้ทำหนังสือเชิญนายสรยุทธและผู้บริหารของช่อง 3 มาร่วมรายการด้วย แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างปฏิเสธที่จะมาร่วม
........................................................
น.ส.ณัฎฐา – ช่องโหว่เรื่องนี้อยู่ตรงไหน
นายสนธิญาณ – ช่องโหว่เกิดการกระบวนการทำงานในธุรกิจโทรทัศน์ โดยเรื่องเกิดขึ้นกินระยะเวลา 2 ปี กับเงินโฆษณา 138 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร แต่ระบบและกลไกการตรวจสอบของ บมจ.อสมท มีความหละหลวม เพราะธุรกิจที่บริษัทไร่ส้มกับ บมจ.อสมท ทำร่วมกัน เรียกว่าเป็นการจัดสรรเวลามาขายกัน แต่หลังขายโฆษณาไปพักหนึ่ง ซึ่ง 1 ชั่วโมง บริษัทไร่ส้มได้มา 5 นาที ก็เต็มแล้ว เพราะรายการและพิธีกรมีความโดดเด่น โฆษณาที่มาซื้อจากฝั่งบริษัทไร่ส้มจึงล้น ซึ่งตามปกติต้องมาเจรจากับ บมจ.อสมท ว่าจะแบ่งโฆษณากันต่อไปอย่างไร หรือจะมาซื้อโฆษณาจากฝั่ง บมจ.อสมท แต่ปรากฏว่าบริษัทไร่ส้มไปยิงโฆษณาในส่วนของ บมจ.อสมท ซึ่งตามปกติมันทำไม่ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท ควบคุมอยู่ แม้ต่อมา บมจ.อสมท จะเข้ามาตรวจสอบ แล้วบริษัทไร่ส้มก็คืนเงินทั้ง 138 ล้านไปอย่างที่กล่าวอ้าง
“แต่กระบวนการเอาเปรียบ บมจ.อสมท โดยการทุจริตของเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท ซึ่งเมื่อ ป.ป.ช.เข้าไปสอบสวน เจ้าหน้า บมจ.อสมท รายดังกล่าวก็รับสารภาพ โดยมีการรับเช็คจากบริษัทไร่ส้มที่คุณสรยุทธเป็นผู้ลงนาม เมื่อตัวการรับสารภาพ ผู้ที่จ่ายเช็คย่อมเหมือนเป็นการติดสินบน จึงอยู่ในฐานะผู้สนับสนุน และต้องรับโทษด้วย”
กรณีนี้เป็นตัวอย่างน่าศึกษา เพราะปกติเวลาเราดูเรื่องคอร์รัปชั่น เราจะมุ่งเน้นไปที่ตัวผู้รับ ไม่เคยดำเนินการกับผู้ให้ คดีนี้จะเป็นตัวอย่างให้กับผู้ที่จ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือจ่ายเงินสนับสนุนให้มีการกระทำผิด
น.ส.ณัฎฐา – ถ้าผลประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากกรณีนี้คืออะไร
นายประสงค์ – เรื่องนี้มีประเด็น 2 ส่วนที่สำนักข่าวอิศรานำเสนอข่าว 1.การทุจริตของเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท ที่คุณสนธิญาณพูดไปแล้ว โดยคุณสรยุทธมีความผิดในฐานะเป็นผู้สนับสนุน และ 2.การทำธุรกิจของบริษัทไร่ส้ม ที่มีการยื่นงบการเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์มีรายได้รวมๆ 2.6 พันล้านบาท กำไร 1 พันล้านบาท โดยไม่รวมปี 2555 ถ้ารายได้ยังไม่ตก ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 3 พันล้านบาท จึงถือเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูงมาก มันสะท้อนถึงความนิยมของผู้ชมที่มีกับคุณสรยุทธ ทำให้โฆษณาหลั่งไหลมาในรายการ ถ้าตีง่ายๆ มีรายได้วันละ 1-2 ล้านบาท
บริษัทเขาเป็นบริษัทเล็กๆ มีทุนจดทะเบียนแค่ 1-2 ล้านบาท แล้วคุณสรยุทธถือหุ้นเกือบ 100% ซึ่งต้นทุนเขาก็ไม่มีอะไรมาก แต่อาศัยฐานความนิยมที่ทำให้กำไรมากกว่าบริษัทใหญ่ๆในตลาดหลักทรัพย์บางบริษัท เพราะลงทุนนิดเดียวแต่ได้กำไรมหาศาล ฐานความนิยมของเขาจึงเป็นสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้อยู่แล้ว
น.ส.ณัฎฐา – จากกรณีไร่ส้ม ในฐานะผู้ตรวจสอบด้านธรรมภิบาล เห็นปัญหาอะไร
ม.ล.ผกาแก้ว – เห็นความบกพร่อง เพราะคนที่อยู่ในตลาดทุน เราให้ความสำคัญกับดำเนินธุรกิจที่ดี สำหรับ บมจ.อสมท มี 2 สถานะ 1.รัฐวิสาหกิจ 2.เป็นบริษัทจดทะเบียน เรื่องที่เกิดขึ้นเกือบ 10 ปีแล้ว แสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องการตรวจสอบและดำเนินกิจการที่ดีของ บมจ.อสมท นำมาซึ่งการกล่าวหาและคดีความ แม้จะได้รับเงินคืนมาแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการสิ้นสุดของการดำเนินคดี เพราะการทุจริตที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว จึงต้องนำสู่กระบวนการทางศาล ซึ่งอาจจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
ส่วนภาคอื่นๆ นอกจากกระบวนการทางกฎหาย ยังมีการลงโทษทางสังคม ซึ่งต้องมาจากความเชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหา “กระทำผิดจริง” ซึ่งถึงเวลานี้ แม้ข้อมูลต่างๆจะชัดเจน แต่ยังไม่ปรากฏต่อสาธารณชนเท่าที่ควร สำนักงาน ป.ป.ช.จึงน่าจะมีบทบาทในเรื่องนี้มากขึ้น เพราะตอนนี้สังคมไม่รู้จะเชื่อใคร ระหว่างผู้กล่าวหา...กับผู้ถูกกล่าวหาที่ใช้เวลาออกมาแจกแจงตัวเองข้างเดียว ทำให้เกิดการตัดสินไม่ถูก
ดังนั้น ผู้ชมที่มองผู้ถูกกล่าวหาเป็นเซเล็บ เพราะช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมปีที่แล้วอย่างแข็งชัน อาจจะเลือกยินดีที่จะรักอยู่ต่อไป หรือทำตาบอดในเรื่องนี้
น.ส.ณัฎฐา – เรื่องนี้ต้องกลับไปที่ ป.ป.ช.หรือไม่
นายสนธิญาณ – ผมว่าประเด็นที่พูด ความจริงมันชัดเจนอยู่แล้ว 1.บริษัทไร่ส้มอาศัยช่องว่างที่มีในการบริหารจัดการของ บมจ.อสมท เอาโฆษณาไปยิงโดยไม่สุจริต ทำให้ บมจ.อสมท เสียประโยชน์ไป 138 ล้านบาท เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏถึงจะยอมคืน ตรงนี้ต้องชัดเจนก่อน ไปทำโดยไม่สุจริต พอถูกจับได้ถึงคืนเงิน เท่ากับการยอมรับแล้วว่าตัวเองผิดจริง
2.เจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท รับสารภาพว่าได้รับการประสานงานจากบริษัทไร่ส้ม ไม่เช่นนั้นจะเอาคิวโฆษณาจากบริษัทไร่ส้มไปเก็บเงินกับลูกค้าได้ แสดงว่าการรับสารภาพดังกล่าว มีหลักฐานปรากฏชัดว่าเป็นการทุจริตจริง
3.บริษัทไร่ส้มได้จ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท คนดังกล่าวจริง แม้จะอ้างว่าเป็นค่าการตลาด ก็ไม่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะค่าการตลาดต้องมากกว่านั้น แล้วคนที่เซ็นเช็คจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท คนดังกล่าว มีคนเดียวคือคุณสรยุทธ
นายประสงค์ – ถ้าเราดูคำชี้แจงของคุณสรยุทธ เขาได้ตั้งประเด็นเหมือนที่คุณสนธิญาณพูด คือ 1.รับมาจริงแต่ได้มีการตรวจสอบทั้ง 2 ฝ่าย และมีการคืนเงินทั้ง 138 ล้านบาทไปแล้ว ในภาษากฎหมายคือข้อเท็จจริงมันรับกัน คือยอมรับว่ามีการเกินเวลาไป ถึงยอมคืนเงิน ซึ่งตามปกติ มีเงินเข้าบริษัทเกินถึง 138 ล้านบาทจะไม่รู้เชียวหรือ เพราะจริงๆ บริษัทของเขาก็ไม่ได้ใหญ่มาก เขาจะไม่รู้เชียวหรือ ต้องมีคนมาทวงใช่ไหม ข้อเท็จจริงตรงนี้มันจึงรับกันอยู่แล้ว
แต่ข้อแตกต่างที่ยังไม่มีการยอมรับ คือคุณสรยุทธบอกว่าเขาไม่ได้บงการให้เจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท ไปขูดลบขีดฆ่าเอกสาร (ใบคิวโฆษณา) แต่พอฟังคุณสนธิญาณอธิบาย จะรู้ว่าใบโฆษณาที่จะไปเกินจากลูกค้า ต้องออกจาก บมจ.อสมท เพื่อนำใบสั่งโฆษณาไปเก็บเงิน บริษัทไร่ส้มออกเองไม่ได้ ฉะนั้นต้องมีการประสานงานกัน ระหว่างเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท กับบริษัทไร่ส้ม
แต่โอเค สำหรับชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงมันรับกันขนาดนี้ แต่ผมพูดในฐานะทำข่าว ป.ป.ช.มานาน ว่าสำนวนพวกนี้ อาจจะแถลงรายละเอียดขั้นตอนมากไม่ได้ แต่คำแถลงมติ ป.ป.ช.วันนั้นก็ได้สรุปข้อเท็จจริงพอสมควรแล้ว
น.ส.ณัฎฐา – การที่สื่อตั้งบริษัทแล้วไปหาโฆษณาจนเกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ มีมากขึ้นหรือไม่ในระยะหลัง
นายสนธิญาณ – สื่อที่จะทำแบบนี้ได้ต้องมีชื่อเสียง ถ้าไม่มีชื่อเสียง ทำไม่ได้ เพรากรณีธุรกิจที่ทำ ไม่ใช่การซื้อเวลา แต่เป็นการตกลงแบ่งเวลาโฆษณาไปขายกัน ซึ่งสื่อที่จะทำแบบนั้นได้ต้องมีเรตติ้งดี ขายโฆษณาเองได้ ประเด็นอันเป็นสาระสำคัญ คือคนที่มีชื่อเสียงในการทำข่าว เขาเติบโตมาจากความเชื่อถือของประชาชนใช่หรือไม่
น.ส.ณัฎฐา – สี่อต้องวางระยะห่างจากผลประโยชน์อย่างไร
นายสนธิญาณ – สื่อบางคนมีฐานะคาบเกี่ยว อย่างผมก็เป็นทั้งนักข่าว และนักธุรกิจ เป็นเจ้าของสำนักข่าว ผมเล่าว่า วันหนึ่งเราไปประมูลงานโฆษณา ก็มีบริษัทหนึ่งโทรศัพท์มาหา บอกว่าจะเอาเงินมาให้ 5 แสนบาท ให้ถอนตัวจากการประมูล เรียกว่า “ฮั้วโฆษณา” ผมก็ตอบเขาว่า ถ้าผมทำแบบนี้ ผมก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป
น.ส.ณัฎฐา – กรณีไร่ส้ม เพราะตัวสรยุทธเลยทำให้เป็นข่าวดัง หลายๆฝ่ายเลยออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบใช่หรือไม่
ม.ล.ผกาแก้ว – คงไม่ใช่ ความผิดก็คือความผิด แต่จริงๆ สื่อกืทำ commercial ได้ เพราะเป็นการดำเนินการธุรกิจปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นคือข้อบกพร่อง แล้ว บมจ.อสมท ไม่ได้กำกับดูแลให้ดี
น.ส.ณัฎฐา – เอาล่ะคะ ได้เห็นที่มาของปัญหากรณีไร่ส้ม ที่สำคัญคือภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งประชาชน สปอนเซอร์ ต้นสังกัด ควรจะเดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร ในวันจันทร์ที่ 8 ต.ค.จะคุยเรื่องนี้ต่อไป
