เผยผลวิจัยจำนำข้าว เงินถึงมือชาวนาแค่ 37%
เปิดผลวิจัยจำนำข้าว เงินถึงมือชาวนาแค่ 37%-หวั่นใช้งบอุ้มสูงถึง 5 แสนล้านบาท

เว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย (www.tpd.in.th) ได้เผยแพร่บทความ “มุมมองทางการเมืองต่อนโยบายข้าว” เขียนโดย ดร.ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์ นักวิจัยเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย สาระสำคัญคือ นโยบายการรับจำนำข้าวเปลือก ถูกวิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์ ว่าจะทำลายระบบกลไกตลาดข้าวและไม่มีประสิทธิภาพ จาก 1.รัฐบาลตั้งราคาจำนำข้าวเปลือกไว้สูงกว่าราคาตลาด จึงมีความเป็นไปได้ว่าชาวนาจะขายข้าวเปลือกให้กับรัฐบาล ท้ายที่สุดรัฐบาลจะกลายเป็นผู้ผูกขาดการค้าข้าว 2.รัฐบาลใช้งบประมาณมหาศาลกับการอุดหนุนกลุ่มคนทางสังคมเพียงกลุ่มหนึ่ง โดยมีการประเมินว่าอาจใช้งบประมาณสูงถึง 5 แสนล้านบาท หรือราว 25% ของงบประมาณแผ่นดิน และ 3.โครงการรับจำนำข้าวมีความเสี่ยงต่อการทุจริต ทั้งการลักลอบนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาเข้าโครงการจำนำ การนำข้าวที่รับจำนำแล้วมาเวียนขอรับจำนำรอบที่สอง การนำข้าวในโกดังเอกชนที่รัฐเช่าถูกลักลอบไปขาย ฯลฯ
“ในทางการเมือง โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นนโยบายระยะสั้นที่พรรคการเมืองต้องการนโยบายที่นำไปสู่ชัยชนะทางการเมืองซึ่งได้แก่ความมั่นคงทางการเมือง การรักษาฐานเสียงหรือพันธมิตรทางการเมืองของผู้นำทางการเมือง (ในขณะนั้น) โดยมิได้สนใจว่ารัฐบาลจะใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประโยชน์ต่อกลุ่มคนในสังคมนอกจากฐานเสียงของตนหรือไม่” บทความของ ดร.ธนพันธ์ระบุ
ทั้งนี้ บทความดังกล่าวยังอ้างถึงผลวิจัยของนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือก ในปี 2548-2549 ของ ดร.อัมมาร์ สยามวาลา และ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่พบว่า กลุ่มธุรกิจโรงสีและผู้สำรวจคุณภาพข้าวได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวประมาณ 4,247.02 ล้านบาท หรือ 22% ในขณะที่ผู้ส่งออกข้าวได้รับประโยชน์ 4,479.41 ล้านบาท หรือ 23.41% ส่วนชาวนาจะได้รับประโยชน์สูงสุดถึง 7,126.72 ล้านบาท หรือ 37% แต่ไม่มีความชัดเจนว่าชาวนารายย่อยจะได้รับประโยชน์จากเงินดังกล่าว เพราะจากการประเมินมีชาวนาเพียง 6 แสนคน จากที่ขึ้นทะเบียนไว้ทั้งหมด 3 ล้านคน ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ในปีนั้น

(รูปในบทความดังกล่าว ซึ่งเปรียบเทียบสัดส่วนผู้ได้รับผลประโยชน์จากโครงการการรับจำนำข้าวในปี 2548-49 ในงานวิจัยของ ดร.อัมมาร์และ ดร.นิพนธ์ จะเห็นได้ว่าแม้ชาวนาจะได้รับประโยชน์มากที่สุด (37%) แต่ก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของงบประมาณที่ใช้จ่ายทั้งหมด ไปตกหล่นระหว่างทางที่โรงสี โกดังและผู้สำรวจคุณภาพข้าว ค่าบริหารจัดการ ค่าสูญเสียที่เกิดจากการสีข้าวและค่าเสื่อมคุณภาพ และผู้ส่งออกข้าว รวมแล้วกว่า 63% หรือเกือบ 2 ใน 3 ของงบประมา๊ณที่ใช้จ่ายทั้งหมด)
