บทเรียนจากภาพยนตร์ดีๆ เรื่อง ยักษ์

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เอนิเมชันของคนไทย เรื่อง “ยักษ์” นับว่าเป็นเรื่องที่ถ่ายทอดวรรณกรรมอมตะเรื่อง “รามเกียรติ์” ได้อย่างน่าสนใจ ถือว่าเป็นภาพยนตร์ดีๆที่คนไทยน่าจะช่วยกันสนับสนุน ผมชมแล้วผมได้รับแรงบันดาลใจหลายเรื่อง ดังนี้
1. คนไทย “ตัวเล็ก” แต่ก็พร้อม “สร้าง” ผลงานที่ยิ่งใหญ่ ดูจะสอดคล้องกับแคมเพญของกลุ่ม “ทรู” ที่เอาคุณ ร้อยตรี แก้ว พงษ์ประยูร เป็นนักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทยในรุ่นพินเวท (45 กิโลกรัม) มาเป็นพรีเซนเตอร์ ว่า แม้คนไทยจะตัวเล็ก แต่หัวใจใหญ่ เข้มแข็ง อดทน ดิ้นรน บากบั่น เพื่อให้พร้อม “สู้” กับคู่แข่งที่ร่างใหญ่กว่าได้อย่างกล้าหาญ
งานภาพยนตร์นั้น เป็นงานที่ต้องแข่งกับยักษ์ใหญ่ระดับโลก เขามีเงินลงทุนมากมายมหาศาล ขายไปในตลาดมากมายทั่วโลก แต่เราก็ถือว่าสู้ไม่ถอย ทำงานได้คุณภาพซึ่งแม้จะไม่มีทางเทียบเขาได้ แต่ก็ถือว่า “ใช้ได้” น่าให้กำลังใจกัน
2. คนไทย “ช่วยกันได้” อย่างจริงใจ ด้วยการ “เลิกโกง” ผมดีใจที่เด็กรุ่นใหม่อย่างลูกๆผมก็สนับสนุนการเคารพลิขสิทธิ์ ต้องยอมรับว่า การซื้อเทปผีซีดีเถื่อนนั้นมันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ กิจการที่ “ผลิต” สื่อด้วยความจริงใจ คงยืนอยู่ยาก หากงานที่ทำนั้น สามารถถูกทำซ้ำได้โดยไม่มีรายได้
“การโกง” นั้น มันย่อมมีผู้เสียหาย
...การ “โกงชาติ” ผู้เสียหาย ก็คือผู้เสียภาษีทุกคน และประชาชนที่ควรได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการใช้ภาษีอย่างสุจริต
...การ “โกงเจ้าของสิทธิทางปัญญา” ผู้เสียหายก็คือผู้ที่สร้างผลงานด้วยแรงงานและแรงสมอง เขาลงทุนทำภาพยนตร์เป็นสิบล้านร้อยล้านพันล้านบาท เราจ่ายแค่ 100-200 บาท มันก็นับว่าคุ้มมาก ก็น่าจะช่วยกันสนับสนุนกันไป
3. คนไทย “รักกันได้” ถ้า “ไม่จดจำความผิด” ผมได้บทเรียนจาก อาจารย์ ชยันตร์ ที่คริสตจักรว่า บางคนมักบอกว่า “FORGIVE must FORGET” คือ การให้อภัยเกิดได้ต้อง “ลืม”
แต่เขาบอกว่า ที่จริงแล้ว ในพระคัมภีร์เขียนไว้ละเอียดว่า หลักการหนึ่งของความรักคือ “ไม่จดจำความผิด” คือแม้ยังอาจ “ไม่ลืม” จากความจำ แต่เรา “ไม่จดจำ” ก็จะยิ่งดีกว่า
การลืม เป็น “ความรู้สึก” เป็น “ผล” ซึ่งบางคนก็ไม่อาจลืมเลือนได้
แต่การไม่จดจำ เป็น “การเลือกกระทำ” เป็น “กริยา” ซึ่งเราตัดสินใจเองได้
เมื่อเราไม่จดจำความผิด เราก็เป็นมิตรกันได้
เรื่อง “ยักษ์” ได้สะท้อนอารมณ์ของ “ทศกัณฑ์” กับ “หนุมาน” ที่มากลายเป็น “น้าเขียว” กับ “เผือก” ได้อย่างน่ารักจริงๆ เมื่อทั้งคู่ไม่มีความจำความผิด ก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
และที่ดีกว่าจะต้องรอให้ “ลืม” ความผิด ก็คือ “ไม่จดจำ” ความผิด เพราะเราย่อม “เลือก” จะไม่จดจำความผิดได้ทันที คนไทยเมื่อไม่จดจำปัญหาความขัดแย้งกัน รักกัน ช่วยเหลือกัน เหมือนเมื่อต้องเผชิญความลำบากด้วยกัน ก็จะทำให้เราระลึกถึงความเป็นพี่น้องไทยร่วมชาติ และน้ำท่วมถึงไหน น้ำใจไทยถึงนั่น ไม่มีแบ่งสี แบ่งฝ่าย ราชการ เอกชน ทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน ประชาชน ร่วมมือกันเสมอ เป็น “ความรู้รักสามัคคี” ที่เป็นพลังแห่งแผ่นดินอย่างแท้จริง
4. คนไทย “อยู่กันอย่างสงบสุขกันได้” ถ้า “ไม่ละเมิดสิทธิ์กัน” และ “ไม่ทำร้ายกัน” เมื่อ ทศกัณฑ์ยังมีสมองส่วน “ซาตาน” ทำหน้าที่ยุยงให้แตกแยก “ต้องทำลายราม” “ต้องทำลายหนุมาน” หรือ ในภารกิจของหนุมาน “ต้องทำลายทศกัณฑ์” ก็ล้วนแต่เป็นการทำลายที่เป็นบาปกรรม ทำให้แตกแยก ชิงชัง และทำร้าย หรือ ทำลายกัน ทำให้บ้านเมืองขาดความสงบสุข ชาวบ้านเดือดร้อน
บ้านเมืองจึงควรดำรงไว้ซึ่งหลัก “นิติรัฐ” เพื่อให้อยู่กันได้อย่างสงบสุข มีหลักยึดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ไม่ใช่ พวกฉันคือถูก พวกเขาคือผิด เช่นนั้น ก็ทำให้บ้านเมืองแตกแยก ไม่มีความสงบสุข
5. คนไทย “มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้” ถ้า “มีศูนย์รวมดวงใจร่วมกัน” เรารู้สึกอยู่เสมอว่า พระราม ในเรื่องรามเกียรติ์นั้นเป็นผู้ทรงคุณธรรม
แต่เนื้อเรื่องและเพลงก็ชวนคิดพอควรว่า “รามสร้างทุกสิ่ง และพร้อมทำลายทุกอย่าง” ซึ่งดูจะมีความน่ากลัวค่อนข้างมาก แต่เมื่อดูถึงตอนจบแล้ว จึงได้ประเด็นที่ผู้สร้างคงอยากเสนอว่า
แม้อาจจะมีผู้ใส่ร้าย “ราม” ว่าเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย แต่ที่จริงแล้ว รามมิได้ทำลาย “คนบาป” แต่ ทำลาย “ความบาป” และ “ความคิดทำบาป” เพื่อให้โอกาสทุกคน แม้คนบาปให้กลับใจใหม่มาสู่ทางชอบธรรม
แม้คนบาปที่ถูกตรึงกับพระเยซูมี 2 คน คนหนึ่งยังไม่สำนึก แต่อีกคนสำนึกแล้ว พระองค์ยังให้โอกาสว่า “เมื่อท่านกลับใจใหม่แล้ว วันนี้ ท่านจะได้ไปอยู่ในแผ่นดินบรมสุขเกษม”
จึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราแต่ละคน จะมีโอกาส “เลือก” ทางสว่างในชีวิต และร่วมกันทำให้แผ่นดินไทย เป็น “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” เพราะ แผ่นดินใดที่เป็นธรรม แผ่นดินนั้นจะเป็นทองครับ
มนตรี ศรไพศาล ([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Sanook.com
