สื่อยุค Convergence ทีวี กวาดเรียบ เม็ดเงินโฆษณากว่า 5 หมื่นล้าน
ปธ.ทีดีอาร์ไอ คนใหม่ ชี้สื่อสิ่งพิมพ์นับวันอยู่ยากขึ้น ยกรายได้กลุ่ม ช่อง 3 รายได้ช่วง 5 ปี มากกว่าเครือโพสต์ 7-8 เท่า และมีกำไรต่างกัน 14 เท่า
วันที่ 11 ตุลาคม สมาคมนักข่าวหนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสภาการณ์หนังสือพิมพ์แห่งชาติ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการเสริมสร้างสื่อมวลชนศึกษาเพื่อสุขภาวะ (Media Monitor) มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมสัมมนา “ยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารสารศาสตร์” ครั้งที่ 3 ณ ห้องประชุมทวี บุณยเกตุ โดยมี รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวเปิดงาน
รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวตอนหนึ่งถึงปัญหา Convergence Media ในปัจจุบันว่า ไม่ได้มีเฉพาะด้านเทคนิค แต่หมายรวมถึงวิธีการนำเสนอ จริยธรรม และการเรียนการสอนด้วย วารสารต้องตระหนักถึงการหลอมรวมกันของสื่อต่างๆ และส่งไปในแพลตฟอร์มต่างๆ ภายในคณะทำงานชุดเดียว ทั้งนี้ การเฝ้าระวังและติดตามสื่อก็ต้องปรับตัวตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ที่จะติดตามได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ตามหน้าที่และความรับผิดชอบ คือ พลเมืองทุกคน ไม่ใช่มอบให้เป็นหน้าที่ของวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่งเท่านั้น
ช่อง 3 รายได้กระฉูด มากกว่าเครือโพสต์ 7-8 เท่าตัว
จากนั้นมีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “Monitoring Media in the Convergence Era” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันการใช้อุปกรณ์ในการเข้าถึงสื่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีบทบาทมากขึ้น ส่งผลให้การบริโภคสื่อของประชาชนเปลี่ยนไป มีการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น ทั้งนี้ ในประเทศไทยสื่อที่มาแรงที่สุด คือ ทีวีดาวเทียม ที่เติบโตขึ้นรวดเร็วและก้าวกระโดด
หากกล่าวถึงการหลอมรวมสื่อ ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า มีทั้งในแง่การได้มาซึ่งข้อมูล การนำเสนอสื่อ อุปกรณ์ที่ใช้ รวมถึงพฤติกรรมในการเสพสื่อ ซึ่งมีนัยยะต่อการเฝ้าระวังและกำกับดูแลสื่อด้วย ภาคธุรกิจก็มีแรงผลักดันหมากในการเข้าสู้สื่อใหม่ ดังนั้น ผู้กำกับดูแลก็ต้องปรับตัว เป็นการรวมองค์กรผู้กำกับ ที่มีกฎกติกาที่ดี ไม่เป็นปัญหา เช่น สื่อวิทยุโทรทัศน์ เรื่องการถ่ายทอดบอลยูโร ที่สะท้อนให้เห็นเค้าลางปัญหาความยุ่งยากซับซ้อน และเป็นโจทย์ท้าทายในการเฝ้าระวังสื่อ
“การเฝ้าระวังสื่อ จะต้องทำทั้งในสภาวะปกติและสภาวะที่เป็นเหตุการณ์พิเศษ เช่น การจัดตั้งรัฐบาล การเลือกตั้ง และสภาวะวิกฤติ มีทั้งการเฝ้าระวังเนื้อหา เฝ้าระวังการทำหน้าที่ของสื่อ โครงสร้างขององค์กรสื่อและความเป็นเจ้าของสื่อ ซึ่งเป็นเรืองที่ยากในการมอนิเตอร์ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อที่เป็นนักการเมือง และปัจจุบันนี้มีสื่อทางการเมือง และนักการเมืองเข้ามาเป็นเจ้าของสื่อมากมาย เพราะต้นทุนการผลิตสื่อลดลง นายทุนพรรคการเมืองก็เข้ามาสนับสนุนง่ายขึ้น โดยเฉพาะทีวีดาวเทียมที่มีความร้อนแรง ควรเฝ้าระวังอย่างยิ่ง เพราะมีหลายประเด็นและการโฆษณามากมายที่เดิมไม่มีในเนื้อหาของสื่อฟรีทีวี เช่น การโฆษณาผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมหรือเรื่องทางเพศ”
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงเรื่องรายได้ของสื่อด้วยว่า มีโมเดลการหารายได้ 2 แบบ 1.ขายเนื้อหาให้ผู้อ่าน 2.เน้นขายโฆษณา ซึ่งปัจจุบันสื่อส่วนมากเป็นสื่อผสมและค่อนไปทางเน้นขายโฆษณา พบว่า รายได้ของกลุ่ม ช่อง 3 เพิ่มขึ้นจาก 7,000 ล้านบาทไปเป็น 12,000 ล้านบาท ใน 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าเครือโพสต์ 7-8 เท่า และมีกำไรต่างกัน 14 เท่า เห็นได้ชัดว่า สื่อสิ่งพิมพ์มีสภาพที่อยู่ยากขึ้น ขณะที่ปกติแล้วสื่อทีวีจะเล่นประเด็นตามหนังสือพิมพ์ ทำให้จากนี้สื่อทีวีอาจต้องปรับตัว
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึง กสทช.ด้วยว่า เป็นองค์กรที่ใช้เงินมหาศาลในการซื้อสื่อโฆษณา ในการประมูล 3G ในสื่อสิ่งพิมพ์ประมาณ 30 ล้านบาท กลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์และทีวี 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงในยุค Convergence
จากนั้นมีเวทีเสวนา เรื่อง “Monitoring Media in the Convergence Era” โดยมี รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผอ.สำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม (สำนัก 5 สสส.) ดร.ธีรารัตน์ พันทวี วงศ์ธนะอเนก ประธานชมรมวิทยุเด็ก เยาวชนและครอบครัว และนางสุวรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานศูนย์ศึกษากฎหมายและนโยบายสื่อมวลชน
สื่อสิ่งพิมพ์ ก้าวสู่ทีวี ปรับตัวเพื่ออยู่รอด
รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวว่า ในยุค Convergence ที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ต้องยอรับว่าธุรกิจสื่อต้องปรับตัว โดยเฉพาะธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ขณะนี้ไม่ค่อยกังวลนัก เนื่องจากหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ ต่างเตรียมพร้อมเข้าสู่ทีวีหมดแล้ว และการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดที่เพิ่มช่องทางในการรับข่าวสารมากขึ้นนี้มีข้อดี เป็นโครงสร้างที่ต่างจากโทรคมนาคม ซึ่งรายเล็กเข้าประมูล 3G ไม่ได้ นับเป็นความล้มเหลวของกสทช.
“เม็ดเงินโฆษณาทั้งหมดกว่า 65,000 ล้านบาท ทีวีได้ไป 70% หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งช่อง3 และช่อง 7 ได้ไปกว่าครึ่ง การที่สื่อหนังสือพิมพ์เข้าสู่ทีวีจะทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น แต่เรื่องโฆษณายังน่าห่วง ยกเว้นกลุ่มสื่อทีวีของหนังสือพิมพ์ที่ฐานลูกค้าของสื่อสิ่งพิมพ์”
ขณะที่รศ.ดร.วิลาสินี กล่าวว่า ห่วงเรื่อง media regulation ที่พบว่าแม้ว่าสื่อจะหลอมรวม แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือการผลิตซ้ำที่สร้างความรุนแรง และความเกลียดชังในสังคม ตรงนี้จะฝากความหวังไว้ที่ใครได้ ทั้งนี้ ต้องดูว่ากระบวนการในการผลิตซ้ำของตัวแทนมาอย่างไร มีใครอยู่เบื้องหลัง และการพิจารณาเรื่อง hate speech คงไม่สามารถมองแค่มิติทางการเมืองเท่านั้น ยังมีเรื่องวัย เพศสภาพและชาติพันธุ์อยู่ด้วย ต้องวิเคราะห์ในภาพรวม
ด้านดร.ธีรารัตน์ กล่าวว่า สื่อในยุค convergence มีทั้งมิติทางเทคโนโลยี และมิติเนื้อหา ซึ่งทักษะด้านเทคโนโลยีมีความสำคัญมาก การใช้ภาษาเขียนและภาษาพูดต้องปรับหรือไม่ หรือสามารถใช้ด้วยกันได้ อีกประการที่ต้องปรับ คือ บุคลิกภาพและทักษะของนักข่าว จากนี้ต้องปรับปรุงให้พร้อมทุกด้าน สื่อกระแสหลักต้องตระหนักถึงความสำคัญของการใช้สื่อออนไลน์ที่จะเป็นทั้งพาหะ เครื่องมือและช่องทาง นักข่าวต้องมีความเก่งรอบด้าน มีความสามารถรอบตัว ทั้งการเขียน การอ่าน ทิศทางของข่าวต้องหลากหลาย รวมทั้งปรับห้องข่าวให้พร้อมต่อการรายงานข่าวร่วมกัน
ส่วนนางสุวรรณา กล่าวว่า ทักษะที่หลากหลายก็ต้องมาพร้อมด้วยความรับผิดชอบต่อสาธารณะและจริยธรรม ซึ่งขณะนี้สื่อกับนักการเมือง มีภาพลักษณ์และถูกจับตามองไม่แตกต่างกัน เพราะมีการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ปัจจุบันนี้กลุ่มวิชาชีพเกิดมากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมพิจารณาถึงองค์ประกอบของความเป็นวิชาชีพ การควบคุมวิชาชีพ ความสำนึกในวิชาชีพ ที่ต้องมี องค์ประกอบ 3 ส่วน คือ องค์กรควบคุม กระบวรการควบคุม สภาพบังคับองค์กรควบคุม
และองค์ประกอบนี้เป็นมาตรฐานที่ กสทช.ควรจะนำมาพิจารณาองค์กรต่างๆ ที่บอกว่าเป็นวิชาชีพ ไม่ใช่แค่ให้เพียงคุ้มครองประโยชน์ต่อสื่อเท่านั้น ต้องเป็นไปเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและสร้างศรัทธาให้ยอมรับยกย่องต่อองค์กรด้วย
ที่มาภาพ:http://storify.com/imsakulsri/3
