ไพ่ในมือ“สรยุทธ”ทางออก“ไร่ส้ม”-ย้อนปริศนาคำพูดเพื่อนซี้“กนก”ไม่ทำงานกับคนโกง!!

ต้องยอมรับว่า “สถานการณ์” อันเป็นผลพ่วงมาจากกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด “บริษัท ไร่ส้ม จำกัด” มีความผิดทางอาญาฐานร่วมกันยักยอกเงินโฆษณาที่ได้รับเกินกว่าสัญญา ทำให้ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงินถึง 138,790,000 บาท
ที่ "สรยุทธ สุทัศนจินดา" นักเล่าข่าวชื่อดังแห่งค่ายช่อง 3 กำลังเผชิญหน้าอยู่ในห่วงเวลานี้
“หนักหน่วง” และ “น่าอึดอัดใจ” เป็นอย่างยิ่ง!!
เหตุที่ต้องระบุแบบนี้ เป็นเพราะหลังจาก ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดในเรื่องนี้ และปรากฏชื่อ “สรยุทธ” รวมอยู่ด้วย ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
ตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพสื่อ รวมถึงองค์กรภาคประชาชนจำนวนหนึ่ง ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ “สรยุทธ” ยุติบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง และไปไกลถึงขนาดสร้างกระแสกดดันให้สปอนเซอร์ที่สนับสนุนรายการของ "สรยุทธ" ทางช่อง 3 ถอนตัวออกไป
แต่ก็มีกลุ่มคนไม่น้อยทางสังคม ที่ออกมาให้กำลังใจและสนับสนุนการทำหน้าที่ “สื่อ” ของ “สรยุทธ”ต่อไปเหมือนเดิม
หากจับกระแสสังคม ผ่านทางเว็บไซต์ “พันทิป” ในห้องศาลาประชาคม ซึ่งมีการตั้งกระทู้แสดงความเห็นเรื่องนี้อย่างเปิดเผย โดยใช้ชื่อ ว่า “คุณคิดว่า...สรยุทธ จะยุติรายการข่าวหรือไม่” จะพบว่า มีหลากหลายความเห็นที่แสดงออกมา
“ไม่จำเป็นต้องยุติหรอก ให้รอจนกว่าศาลจะพิพากษา”
“ไม่ยุติครับ.. ไม่ใช่ไม่จำเป็น แต่เขาสร้างฐานความนิยมมามากขนาดนี้ ผมว่าเขาไม่ทิ้งไปง่ายๆ หรอก”
“คนที่ออกมากดดัน ไม่ชอบเขาอยู่แต่แรกอยู่แล้ว เขาจะฟังเรย...”
“ผมว่าแกไม่หยุดนะครับ ปล่อยให้เรื่องค่อยๆ เงียบไปเอง ต้องยอมรับว่าคนรักคุณสอ มากจริงๆ”
“คนเก่งไม่เกี่ยวกับการเป็นคนดี” ฯลฯ
(คลิกดูความเห็นใน http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U12745468/U12745468.html)
ขณะที่สื่อกระแสหลายค่าย ก็มีการหยิกยกเรื่องนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน เช่น มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2555 นำเรื่องนายสรยุทธ ขึ้นเป็นเรื่องนำหน้าปก ให้ชื่อว่า "คนยังคง ยืนเด่น โดยท้าทาย"
พร้อมบรรยายเหตุผลประกอบเรื่องตอนหนึ่งไว้น่าสนใจ ว่า “แม้จะมิได้ออกมาตอบโต้ แต่ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากสมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเช่นเดียวกับอีกกระแสหนึ่งที่ตั้งคำถามต่อการเคลื่อนไหวของ นักวิชาการและองค์กรสื่อที่ออกมาทวง ถามจรรยาบรรณต่อ สรยุทธว่าเพื่อปกป้องวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างบริสุทธิ์หรือว่า มีวาระอื่นแอบแฝง เพราะเป็นขบวนการหน้าคุ้นๆ..
"คนยังคง ยืนเด่น โดยท้าทาย" ตอนหนึ่งจากบทเพลง แสงดาวแห่งศรัทธาสะท้อนความเป็นไปที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่าเด่น ไม่งั้น"โดน"
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มติชนสุดสัปดาห์ เคยเขียนถึง “สรยุทธ” เพื่อเล่าเรื่องรสนิยมการทาน “ปู” มาแล้วครั้งหนึ่ง
(คลิกดู http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1338809692&grpid=01&catid=5000)
และก็เป็นสื่อค่ายนี้เอง ที่นำเสนอข้อมูลตัวเลขงบดุล บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และบริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด ว่าทำรายได้มหาศาลขนาดไหน เป็นที่แรกในช่วงปี 2551 ในชื่อข่าวว่า “สรยุทธ รวยและ!3ปี บริษัทไร่ส้ม ฟันกำไรเฉียด 400 ล้าน ยังครองแชมป์นักเล่าข่าวอันดับหนึ่งจอแก้ว”
พร้อมระบุว่า สรยุทธ จะกลายเป็นเสี่ยพันล้านในอีกไม่กี่ปี?
และก็เป็นจริงตามคาด เพราะบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และบริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด ถูกตรวจพบว่า มีรายได้รวม ปี 2554 กว่า 2,600 ล้านบาท กำไรสุทธิ รวมกว่า 1,047 ล้านบาท
ส่วนค่ายเนชั่นที่ ทำงานเก่าของสรยุทธ ก็เสนอข้อเขียนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ผ่านบทความใน “ เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2555 เช่นกัน
โดยให้ชื่อเรื่องดุดันว่า “เรื่องที่ “สรยุทธ” ไม่ได้เล่า ทำ “ไร่ส้ม” รวยพันล้าน สะท้านจริยธรรมสื่อ”?
แต่ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็น “กิตติ สิงหาปัด” ผู้ประกาศข่าวในรายการข่าว 3 มิติ เพื่อนร่วมช่อง ของ “สรยุทธ” ที่ออกมาแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ
ทวิตข้อความผ่าน @Kitti3Miti ระบุว่า รายการของตนไม่เคยรับโฆษณาแฝง และเป็นคนตั้งเงื่อนไขนี้ กับช่อง 3 เอง หลังถูกระบุว่า รายได้บริษัท ฮ็อทนิวส์ จำกัด ห่างชั่นจากรายได้ของ “สรยุทธ” เกือบ35 เท่า
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันแม้ว่าจะถูกกระแสสังคมกดดันอย่างหนัก หลายคนก็เชื่อว่า สรยุทธจะยังทำหน้าที่ ผู้จัดรายการข่าว ต่อไปเหมือนเดิม ท่ามกลางการโอบอุ้ม จากผู้ใหญ่ในช่อง 3
โดยประเมินว่ามาจากปัจจัยหลัก คือ เรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะเม็ดเงินรายได้ตอบแทน ที่มีจำนวนมหาศาลต่อวัน ซึ่งช่อง 3 ต้นสังกัด ก็ได้รับผลจากเรื่องนี้ด้วย เข้าตำรา น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
และการยื่นหนังสือลาออกจาก การเป็นสมาชิกวิสามัญ 2 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา ของ “สรยุทธ” ก็เท่าเป็นการประกาศให้สังคมรับรู้ว่า เขาไม่ใช่นักข่าวอีกแล้ว อย่ามาท้วงสิทธิอะไรจากเขาอีก ?
ปัจจัยสำคัญต่อมา คือ สังคมไทยเป็นสังคมที่ลืมง่าย อีกไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกลืมไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น กระแส “กดดัน” “ต่อต้าน” ต่างๆ ก็จะลดน้อยลงตามไปโดยปริยาย
ตามใดที่ “สรยุทธ” ยังรักษามาตรฐานการทำหน้าที่การเล่าข่าว และการยิงคำถามโดนกับแหล่งข่าวได้ โดยไม่มีทีติ และไม่มีใครขึ้นมาเทียบชั้นได้แบบนี้ ชื่อ “เขา” ก็ยังขายได้ต่อไป (เหมือนเดิม) อีกนาน
ไพ่ในมือ สรยุทธ ที่ทิ้งมา กับสถานการณ์ “ไร่ส้ม” ขณะนี้ จึงเห็นเด่นชัดยิ่งนัก !!
แต่ไม่ว่าในท้ายที่สุด สรยุทธจะตัดสินใจเลือกทางออกอย่างไรกับสถานการณ์อันน่าอึดอัดแบบนี้
สิ่งหนึ่ง ที่เป็นเรื่องตอกย้ำให้คนทำหน้าที่ “สื่อ” เห็นอย่างชัดเจน คือ “ความร้ายกาจ” และ “ผลกระทบ” อันใหญ่หลวงที่จะตามมาจากคำว่า “ผลประโยชน์”
เมื่อใดก็ตาม ที่คนทำหน้าที่ “สื่อ” ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการป้องกันผลประโยชน์ส่วนร่วม ถูกตรวจพบว่า ทำงานเพื่อ (หวัง) ผลประโยชน์ส่วนตัว
ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจ ที่สังคมมีให้จะเสื่อมถอยลงทันที!!
ถามว่า วันนี้นักข่าวคนหนึ่ง ที่ถูกตรวจพบว่า ไม่ซื่อสัตย์กับวิชาชีพของตนเอง จะตั้งทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองที่ไม่ซื่อสัตย์ ได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ?
คุณจะตอบคำถาม นักการเมืองเหล่านั้น ได้อย่างไร ถ้าถูกคำถามส่วนกลับมาว่า แล้วตัวคุณดีกว่าผมมากนักหรือ?
การรักษาอุดมการณ์ในการทำหน้าที่สื่อ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่ดี ที่ทำให้ตัวเองมั่วหมอง ดังประโยคปริศนา ของ “กนก รัตน์วงศ์สกุล” นักข่าวนักจัดรายการชื่อดังค่ายเนชั่น อดีตพิธีกรคู่หูเพื่อนซี้ "สรยุทธ"
ที่ระบุไว้ในบทความคอลัมน์ “ชีวิตรื่นรมย์” ใน “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับที่ 764 ประจำวันที่ 19 มกราคม 2550 ว่า
“ผมทำงานกับคนโกงไม่ได้ อย่าทำงานกับคนขี้โกง ยิ่งพวกที่สร้างภาพให้ดูน่าเชื่อถือ แต่ธาตุแท้คิดไม่ซื่อ คนจำพวกนี้ สังคมต้องใช้เวลาพิสูจน์ สีที่เห็นขาว แท้จริงมันอาจดำ ที่ขาวเพราะปรุงแต่งเกินจริง ผมเชื่อว่าคนขี้โอ่ ขี้โกง อยู่อย่างพอเพียงไม่ได้ ไม่อยากให้คนอื่นมองเราขี้โอ่ ขี้โกง จงอย่าอยู่กับคนแบบนี้”
จึงมีนัยยะต่อสถานการณ์ปัญหา “สื่อ” กับ วังวนผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้เป็นอย่างมาก
ณ วันนี้ ก็ได้แต่หวังว่า สื่อมวลชน จะเก็บคดี “ไร้ส้ม” ไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจในการทำหน้าที่ต่อไป
ไม่หวั่นไหวเอนเอียงไปกับผลประโยชน์ ทางธุรกิจ จน “ตาบอด”
ลืมความสำคัญในการทำหน้าที่ "สื่อ" ของตนเอง อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีอะไรแอบแฝง
เพราะสำหรับโลกใบนี้ “เงินทอง คือ มายา” “ข้าวปลา คือ ของจริง” เสมอ
แม้ว่า (สื่อ) บางคน จะหลงลืมความศักดิ์สิทธิ์ของคำพูดประโยคนี้ไปแล้วก็ตาม !!
-----------
ภาพประกอบจาก เว็บไซต์พันทิป
