กรณีกระสอบในท่อกันน้ำท่วม....ใครถูก? ใครผิด?
ผมได้ติดตามการกล่าวหา เรื่อง “พบกระสอบ กทม. ในท่อ” เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ซึ่งผู้ใหญ่บางท่านในรัฐบาลได้กล่าวหา หลายข้อ เช่น
... ดูจะเป็นการคอรัปชัน ค่ารอกท่อ มิเช่นนั้น ไม่น่าจะมีถุงทรายในท่อได้
... ถ้าจะเป็นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ก็เป็นเทคโนโลยีที่ห่วยแตกที่สุด
... กทม. เล่นการเมือง
ณ จุดตั้งต้น มีการขนสื่อมวลชนไป โดยโฆษกใหญ่ ไปกำกับภาพเอง ดูเหมือนได้หลักฐานอันโอชะว่า “จับผิด” ได้แล้ว และในที่สุด เมื่อเรื่องสงบลง ด้วยความจริงว่า ที่มีกระสอบทรายอุดท่อเป็นการชั่วคราวนั้น “ถูกแล้ว” ก็เงียบๆกันไป และสื่อมวลชนบางคน กลับตั้งคำถามว่า “เห็นทะเลาะกันอย่างนี้ น่าตั้งคำถามว่า ควรให้ ผู้ว่า กทม. กับ รัฐบาล เป็นพรรคเดียวกันหรือไม่ ?” !
ในบทบาทสื่อมวลชนคนหนึ่ง ผมว่า ถ้าเราได้มีโอกาสวิเคราะห์ “ความจริง” และ ร่วมกัน “ปกป้องความจริง” ก็จะสมกับหน้าที่ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” หรือ Watchdog ของเราที่น่าภาคภูมิใจ
1. มาตรการเอา “ถุงทราย” ลงท่อ (ถ้าทำเป็น) ก็เป็นวิธีที่ “ถูกแล้ว” ผมเองก็เพิ่งได้ความรู้ จากกรณีน้ำท่วมปีที่ผ่านมา เห็นแถวๆหมู่บ้าน ก็ได้ประเมินว่า น้ำจะมามากเมื่อไร เพราะหมู่บ้านเรา จะอยู่ต่ำ เราก็หาถุงทรายเตรียมไว้ ถึงเวลาก็อุด ไม่ให้น้ำเข้ามาเพิ่ม แล้วสูบน้ำออก ส่วนใหญ่ก็ทำกันเช่นนี้ โรงงานที่มีเครื่องจักรมูลค่ามหาศาล (และทำเป็น) ก็จะกันไม่ให้น้ำเข้าพื้นที่โรงงาน ประตูก็จะกั้นด้วยคอนกรีต หรือ ด้วยไม้ อุดดินน้ำมัน แต่ถ้าทำไม่เป็น ก็จะพบว่า น้ำจะมุดมาภายในโรงงานตามท่อระบายน้ำ
ซึ่งท่อระบายน้ำเหล่านั้น เวลาปรกติ จะระบายน้ำออกไปตามระบบระบายน้ำ เว้นแต่เมื่อน้ำข้างนอกสูง ก็จะเป็นช่องให้มันย้อนไหลกลับมา
ปีนี้ ฝนตก กทม. แรงจริงๆ ประเมินได้เลยว่า น้ำจะท่วมพื้นที่ต่ำเช่นแถวๆ ศรีนครินทร์ และอีกหลายจุด การใช้ถุงทรายอุดกันไว้ ไม่ให้น้ำจากที่สูงเข้ามาเติมผ่านท่อระบายน้ำเหล่านั้น จึงถูกต้องแล้ว แล้วก็สู้กับน้ำที่มาจากฟ้าด้วยกันสูบออก แต่ถ้าเปิดท่อไว้ สูบออกไป มันก็จะไหลเข้ามาอีก
ผมเคยอาศัยอยู่แถวๆศรีนครินทร์เหมือนกัน เป็นพื้นที่ต่ำ น้ำท่วมประจำ แต่ระยะหลัง การแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องเช่นนี้ จึงทำให้ไม่ต้องเจอปัญหาน้ำท่วมกันอีก
2. เทคโนโลยี “ถุงทราย” ถือเป็นวิธีที่ “ดีเยี่ยม” ไม่ใช่ “ห่วยที่สุด” ผมเองจบวิศวฯมา เทคโนโลยี ไม่ได้แปลว่า ต้องของใหม่เอี่ยม หรูหรา เทคโนโลยีที่ดีที่สุด คือ ใช้ของที่มีอยู่อย่าง “ชาญฉลาด” เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน
ระบบที่ดูจะทันสมัยกว่านี้ อาจควรมี “ประตูน้ำ” ในท่อ ซึ่ง เปิด-ปิดได้ และ อาจควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
เท่าที่รับฟังการแถลงข่าว จุดใหญ่ๆ สำคัญๆ ก็จะทำในทำนองนั้น แต่ในหลายจุดที่มีความเสี่ยง ก็มีเทคโนโลยีนี้ที่ใช้ได้ และที่เป็นถุงทราย แทนที่จะเป็นคอนกรีต เพราะเป็นการใช้ “ชั่วคราว” เมื่อแก้ปัญหาผ่านช่วงอาการหนักไปแล้ว ก็น่าจะสามารถดึงกลับขึ้นมาได้ จึงไม่เห็นว่าเป็น เทคโนโลยีที่ห่วยที่สุด แต่ดีเข้าท่าต่างหาก
3. กทม. พิสูจน์ว่า “ทำเป็น” เป็นปีที่ 2 อภิมหาอุทกภัยปีที่แล้ว ทั้งประเทศ และพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม “จมน้ำ” ทั้งที่เอกชนหลายคนเชื่อ รัฐบาลว่า “เอาอยู่” แต่ กทม. กลับดูแลได้ดีพอสมควร น้ำค่อยๆมา มีเวลาเดินทาง เมื่อประเมินว่า น้ำมากจริงๆ กทม. เพิ่มคันกั้นน้ำ ตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ช่วยให้น้ำระบายผ่าน กลาง กทม. ได้มากขึ้น
ผมว่า คน กทม. ก็ยังชื่นชม งานของ กทม. และท่านผู้ว่า กทม. ว่าทำให้ผ่านปัญหาน้ำท่วมใหญ่มาจากปีที่แล้ว ได้มากเท่าที่จะทำได้ทีเดียว
4. “ความแตกต่าง” ทางความคิด คือ “เสน่ห์” ของประชาธิปไตย ผมขอชื่นชม สื่อมวลชนหลายส่วน ที่ได้ให้ความเป็นธรรม เมื่อมีข้อมูลจากฝ่ายกล่าวหา ก็ไปหาผู้ถูกกล่าวหาให้ชี้แจง
ในประเทศศิวิไลซ์ เช่นอเมริกา เวลามีความขัดแย้งด้านความคิด เขาพร้อมจะถ่ายทอดให้ประชาชนชมการถกกัน เช่น เรื่องงบประมาณ “ค่ารักษาพยาบาล” เรื่อง “ภาระหนี้ภาครัฐ”
เรื่องนี้ เมื่อมีคำถามทางการเมืองที่มีความแตกต่างระหว่าง กบอ. กับ กทม. การถกกันด้วยเหตุด้วยผลให้ประชาชนได้ติดตามชม ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
5. หยุด ! ทำงานด้วย “ความเท็จ” เพียงเพื่อภาพและเสียง ผมเป็นห่วง การทำงานเพื่อประชาชน ที่เน้นแต่ภาพ และเสียง โดยใช้ “ความเท็จ”
ปีที่แล้ว น้ำในเขื่อนตอนเปลี่ยนรัฐบาล อยู่แถวๆ 70% ก็น่าจะเป็นตัวเลขที่จัดการได้ เพิ่มน้ำได้ ระบายน้ำได้ แต่มีการสะสมน้ำอย่างรวดเร็วจนถึงต้นกันยายนจนเกือบ 100% โดยมีบางช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายให้ยังไม่เร่งระบายน้ำด้วย เพื่อให้ชาวนาท้ายเขื่อนได้เก็บเกี่ยวเสียก่อน
แทนที่น้ำจะได้ทยอยระบาย กลับกระจุกจนเป็นมวลน้ำก้อนใหญ่ เมื่อระบายจึงกลายเป็นมวลน้ำก้อนใหญ่ที่กั้นไว้ไม่มีทางอยู่
ปีนี้ เห็นความพยายามที่จะให้ประชาชนเชื่อว่า วิธีแก้ไขคือ ระบายน้ำให้น้อยไว้ตั้งแต่กลางปี (เมื่อถอยไปปีที่แล้ว ก็จะเป็นช่วงของรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์) จนระดับน้ำกลางปีอยู่ต่ำกว่า 50% ประมาณว่าเกาะที่ระดับต่ำสุด
นั่นอาจจะได้ “ภาพ” ว่า แก้ปัญหาจากที่ปีที่แล้ว รัฐบาลก่อนหน้า น่าจะระบายออกไปมากกว่านี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ อาจทำให้น่าคิดว่า
...ปีนี้น้ำไม่มากเท่าปีที่แล้ว แต่น้ำก็ไม่น้อย ปัญหาคือ เราจะมีน้ำเหมือนปี “แล้ง” น้ำโดยไม่จำเป็น ?
...น้ำที่เร่งระบายมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า ที่ทำให้น้ำใต้เขื่อนทั้งภาคกลาง จนถึงลุ่มเจ้าพระยาน้ำมากเกินไปหรือเปล่า ? บางระกำท่วมซ้ำซาก เพราะมีน้ำเหนือเขื่อนมาเติมในลำน้ำด้านล่างจนสูงเกินความจำเป็นหรือเปล่า ? สุโขทัยท่วม อยุธยาท่วม ก็เพราะน้ำไหลลงมาเกินความจำเป็นหรือเปล่า ? น้ำท่วม กทม. ระบายน้ำได้ช้า เพราะน้ำในเจ้าพระยาสูงเกินความจำเป็นหรือเปล่า ?
สรุปแล้ว ปีที่แล้ว เอาน้ำไว้เหนือเขื่อนมากเกินไป เพื่อให้ชาวนาเกี่ยวข้าวก่อน แล้วปีนี้ เอาน้ำลงมาใต้เขื่อนมากเกินไป เพราะเป็นการผิดซ้ำสองหรือเปล่า ?
ผมจึงคิดว่า เราควรวิเคราะห์ด้วย “ความจริง”...ผู้ทำถูก เราควรให้กำลังใจ...และผู้ทำผิด เราควรให้กลับใจครับ
มนตรี ศรไพศาล ([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
ขอบคุณภาพจาก TLC News : http://news.tlcthai.com/news/56130.html
