"ระวังฮั้ว" คำเตือนจากทีมวิจัยจุฬาฯ ที่ กสทช.ไม่ยอมได้ยิน?
"คำเตือน" จากคณะผู้วิจัยของจุฬาฯ เรื่อง 3G ที่ กสทช.อาจจะฟัง ...แต่ไม่ได้ยิน?

ระงม..อื้ออึง..เซ็งแซ่ ไม่รู้จะใช้คำไหนเปรียบกับเสียงวิจารณ์การประมูลใบอนุญาตให้บริการ หรือไลเซ่นส์ 3 จี 2.1 กิกะเฮิร์ตซ์ ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันอังคารที่ 16 ต.ค.ถึงจะใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมากที่สุด
เพราะทั้งๆ ที่ ใครหลายคน ออกมาเตือนว่า การตั้งราคาเริ่มต้นไลเซ่นส์ 3 จี ใบละแค่ 4,500 ล้านบาท นั่นต่ำเกินความเป็นจริง (มูลค่าคลื่นความถี่ 3 จี ควรจะสูงถึง 6,440 ล้านบาท ตามงานวิจัยของนักวิชาการจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
แถมการออกแบบวิธีการประมูลของ กสทช.ก็ไม่เอื้อให้เกิดการแข่งขันเพราะไลเซ่นส์ 3 จี มีทั้งหมด 9 สล๊อตๆ ละ 5 เมกะเฮิร์ตซ์ โดยให้ผู้ประกอบการประมูลสูงสุดได้เจ้าละ 3 สล๊อต แต่มีผู้ร่วมประมูลเพียง 3 เจ้า ซึ่งไม่ว่าจะคำนวณกี่ครั้ง ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ทั้ง 3 เจ้า เอไอเอส ดีแทค และทรู ที่ส่ง บ.เข้าร่วมประมูล ก็ต้องได้เจ้าละ 3 สล็อตเท่ากันอยู่แล้ว
แต่ฝ่าย กสทช.นำโดย “พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ” รองประธาน กสทช.ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ก็ยันยืนยันว่า ผู้เข้าร่วมประมูลจะแข่งขันกันเสนอราคาเพื่อเลือก “ย่านความถี่” ที่ดีที่สุด
แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร... บ.ที่เสนอราคาประมูลน้อยที่สุด (บ.เรียล ฟิวเจอร์ ในเครือทรู) กลับได้ย่านความถี่ที่ กสทช.อ้างว่าดีที่สุดไปซะอย่างนั้น !
ขณะที่การประมูลไม่เกิด “การแข่งขัน” จริงอย่างที่หลายๆ คนคาดไว้ เพราะมีเพียง บ.แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ต ในเครือเอไอเอสเท่านั้น ที่เสนอราคาประมูลมากกว่าราคาเริ่มต้น แบ่งเป็น 4,950 ล้านบาท 2 ใบและ 4,725 ล้านบาท 1 ใบ ขณะที่ บ.เรียล ฟิวเจอร์กับ บ.ดีแทค เนทเวอร์ค ในเครือดีแทค เสนอราคาเท่ากัน คือทั้ง 3 ใบ เท่าราคาเริ่มต้น 4,500 ล้านบาท !!
โดยสรุป การประมูลไลเซ่นส์ 3 จี ครั้งนี้ จึงเคาะราคาสุดท้ายกันที่ 41,625 ล้านบาท มากกว่าราคาเริ่มต้นเพียง 1,125 ล้านบาท เท่านั้น
“นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา” กสทช.เสียงข้างน้อย ที่คอยทักท้วงทั้งราคาตั้งต้นและวิธีออกแบบการประมูล 3 จีนี้มาตลอด ถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ทันทีว่า “ไม่ต่างจากที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าการแข่งขันจะไม่ดุเดือดและไม่เข้มข้น เนื่องจากสามารถจัดสรรกันลงตัวรายละ 3 ใบพอดี”
แม้ไม่มีคำว่า “ฮั้ว” ออกจากปาก กสทช.รายนี้ แต่ระหว่างบรรทัด ทำให้เข้าใจได้อย่างนั้น
ความจริงเรื่องการฮั้ว หรือ “สมรู้ร่วมคิด” เคยมีคนเตือน กสทช.มาแล้วหลายครั้ง ทั้งจากคนนอก รวมถึงคนในเอง หรือแม้กระทั่งคนที่ กสทช.อ้างงานวิจัยเพื่อใช้ในการประมูลครั้งนี้ อย่างคณะผู้วิจัยจากจุฬาฯ ที่นำทีมโดย “รศ.ไพฑูรย์ วิบูลชุติกุล”
แถมไม่ได้เตือนด้วย “ปากเปล่า” ทว่า ถึงกับระบุไว้ใน "งานวิจัย" ที่เสนอต่อ กสทช. โดยคณะผู้วิจัยเขียนไว้ว่า
“ราคาเริ่มต้นควรมีระดับที่เหมาะสม คือไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไป”
“หากราคาเริ่มต้นกำหนดไว้สูงเกินไป อาจไม่มีผู้เข้าร่วมประมูลจนทำให้การประมูลไม่สัมฤทธิ์ผล ส่งผลให้ไม่สามารถนำทรัพยากรคลื่นความถี่ใหม่ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ กระทบต่อประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากรและทำให้สวัสดิการทางเศรษฐกิจของ ประเทศลดลงต่ำกว่าศักยภาพ
“แต่หากราคาเริ่มต้นมีระดับต่ำเกินไปและมีจำนวนผู้ประกอบการเข้าร่วมทำการประมูลไม่มาก การประมูลอาจเกิดปัญหา Collusion (การสมรู้ร่วมคิด) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อรายได้ของรัฐและผลประโยชน์ของผู้บริโภค”
ในงานวิจัยของนักวิชาการรั้วจามจุรี ยังเขียนไว้ว่า การกำหนดราคาเริ่มต้นหรือราคาขั้นต่ำ ต้องคำนึงถึงบุคคล 3 กลุ่มที่จะได้รับผลประโยชน์จากการประมูลครั้งนี้ ดังนี้
(1) ภาครัฐ : รัฐควรได้รับรายได้ที่เหมาะสมจากค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Economic Rent) ที่ผู้ประกอบการได้รับจากการใช้คลื่นความถี่ที่ประมูลใหม่ไปประกอบธุรกิจ
(2) ผู้บริโภค : ผู้บริโภคควรได้รับบริการโทรศัพท์มือถือจากคลื่นความถี่ใหม่ที่มีคุณภาพดีและราคาที่เป็นธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อการประมูลใบอนุญาตการใช้คลื่นความถี่มี “การแข่งขันสูง” นอกจากนี้ ภายหลังจากการประมูลสำเร็จ การประกอบธุรกิจโทรศัพท์มือถือก็ควรมีระดับการแข่งขันสูงต่อไป และ
(3) ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ : ราคาเริ่มต้นที่รัฐกำหนดขึ้นควรอยู่ในระดับที่ทำให้การประมูลสำเร็จลุล่วง และผู้ประกอบการสามารถประกอบธุรกิจโดยได้รับผลตอบแทนสูงเพียงพอที่จะจูงใจให้มีการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบริการโทรคมนาคมของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน กสทช.เสียงข้างมาก นำโดย พ.อ.เศรษฐพงศ์ ผู้เดินสายออกรายการโทรทัศน์หลายรายการ และขึ้นหน้าปกนิตยสารหลายฉบับ (ด้วยงบประมาณที่กระทั่งคนในสำนักงาน กสทช.ยังไม่รู้เลยว่าใช้ไปกี่บาท) กับ “นายสุทธิพล ทวีชัยการ” กลับโฟกัสไปที่ประเด็นว่า กลัวขายไลเซ่นส์ 3 จี ไม่หมด หากตั้งราคาเริ่มต้นสูงเกินไป มากกว่าเรื่องรายได้ที่เหมาะสมของรัฐ หรือผู้บริโภคได้ประโยชน์จากการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ
ไม่แปลกที่ “ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จะออกมาเรียกร้องให้ กสทช.แสดงความรับผิดชอบ ที่คล้ายกับโยน "ลาภลอย" ให้กับ 3 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ซึ่งทำให้รัฐและประชาชนผู้เสียภาษี เสียรายได้จากมูลค่าไลเซ่นส์ 3 จี ที่ควรจะเป็นถึง 16,335 ล้านบาท (หากยึดตามมูลค่าคลื่นความถี่ 3 จี ที่ 6,440 ล้านบาท หรือรวม 57,960 บาท)
ที่ใครบางคนคิดว่าการประมูลครั้งนี้ จะเป็นผลงาน "ชิ้นโบว์แดง” คนไทยจำนวนไม่น้อยอาจไม่คิดเช่นนั้น !!!
