เปิดข้อมูลก.คลัง 9 ปี อุ้มเกษตรกรโครงการ“จำนำ-ประกัน”ขาดทุนยับ-หนี้ค้าง 4.5 แสนล้าน

เปิดข้อมูล ก.คลัง 9 ปีใช้เงินอุ้มเกษตรกร “จำนำ-ประกันรายได้”กว่า 7.8 แสนล. ยอดปิดบัญชีล่าสุด 31 ส.ค. 2555 ติดลบ 2 แสนล้าน หนี้รุงรังอีกกว่า 4.5 แสนล้าน จี้ก.พาณิชย์ ปรับระบบโครงการข้าวเปลือก ปี 55/56 ใหม่ หวั่นกระทบงบประมาณทั้งระบบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งมีมติเห็นชอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 จำนวน 26 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวเปลือกนาปี 15 ล้านตัน และข้าวเปลือกนาปรัง 11 ล้านตัน โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอ
กระทรวงการคลัง ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค 0904/17560 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2555 ยืนยันความเห็นประกอบการพิจารณาปริมาณ และวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/2556 ต่อที่ประชุม ครม. โดยระบุว่า ก่อนที่รัฐบาลจะดำเนินโครงการรับจำนำผลผลทางการเกษตรต่อไป ควรมีการประเมินผลกระทบต่อโครงการและแนวทางการบริหารจัดการวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล ที่ น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้แต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลปิดบัญชี
พบว่า นับตั้งแต่ปี 2547 มีการดำเนินโครงการรับจำผลผลิตทางการเกษตรและโครงการประกันรายได้ตามนโยบายรัฐบาล และรัฐต้องรับภาระต้นเงินและดอกเบี้ย คิดเป็นเงินที่ใช้ในโครงการทั้งสิ้น 787,823.32 ล้านบาท ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2555 มีผลขาดทุน 207,006.44 ล้านบาท มีหนี้คงค้างทั้งสิ้น 455,538.80 ล้านบาท และยังไม่สามารถปิดโครงการได้อย่างสมบูรณ์ เป็นภาระงบประมาณที่สูงมาก จำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องจากการระบายสินค้าเกษตรได้ช้าและไม่มีงบประมาณเพียงพอ
จี้ระบายสินค้าหวั่นภาระงบประมาณสูง
กระทรวงการคลังระบุด้วยว่า เนื่องจากวงเงินดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต 2554/55 เป็นวงเงินที่สูง และเป็นภาระต่อเนื่องต่องบประมาณ ทั้งในส่วนเงินทุน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรอบวงเงินกู้เดิม และส่วนที่อยู่ระหว่างขยายปริมาณและกรอบการใช้เงิน (กรณีพิเศษ)เพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น 408,160 ล้านบาท รวมทั้งวงเงินค้ำประกันของโครงการลงทุนของประเทศของหน่วยงานอื่น
“ดังนั้น หากจะมีการดำเนินโครงการต่อเนื่อง ควรมีการวิเคราะห์และปริมาณผลของโครงการที่ได้ดำเนินการแล้ว รวมทั้งนโยบายการระบายผลิตผลทางการเกษตรที่รับจำนำอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนการดำเนินโครงการใหม่ ซึ่งใช้วงเงินสูงถึง 405,000 ล้านบาท ทำให้ภาระงบประมาณเพิ่มสูง หากยังไม่มีการระบายผลผลิตโครงการรับจำนำผลิตผลิตทางการเกษตรดังกล่าว จะส่งผลต่อความสามารถกระทรวงการคลังในการค้ำประกันเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 และหากกรณีระบายผลิตผลที่รับจำนำได้ใน 3 ปี จะมีภาระการบริหารการปรับโครงสร้างหนี้เฉลี่ยปีละ 224,553 ล้านบาท ซึ่งกระทบต่อการระดมทุนในตลาดเงินที่มีสภาพคล่องตึงตัว ทั้งในด้านต้นทุนการกู้เงินที่สูงขึ้น และเป็นภาระงบประมาณเพิ่มสูงขึ้นต่อไป” กระทรวงการคลังระบุ
กระทรวงการคลัง ยังได้ระบุว่า การรายงานผลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ของกระทรวงพาณิชย์ ต่อ ที่ประชุม ครม. ยังไม่สอดคล้องกับมติครม.เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2555 ที่กระทรวงพาณิชย์ จะต้องกำกับ ติดตามควบคุมรวมทั้งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงาน การเบิกจ่ายเงิน การระบายสินค้า ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือรวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นสำหรับโครงการที่ดำเนินการในปี 2554/55 ทุกโครงการ (แทรกแซงมัน ปี 2554/55, รักษาเสถียรภาพราคายาง และรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 55 ให้ ครม.ทราบทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป จนกว่าหนี้คงค้างได้รับชำระครบถ้วน เพื่อให้ครม.สามารถติดตามการดำเนินงานได้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้รายงานการระบายสินค้า ปริมาณ และมูลค่าสินค้าคงเหลือให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส
ย้ำแผนระบายข้าวต้องเป็นรูปธรรม-อุดทุจริต
กระทรวงการคลังระบุอีกว่า นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ นำเสนอแผนการขายข้าว ผลการขายข้าว และแผนการรับเงินอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อกำหนดแนวทางการลดภาระหนี้คงค้าง และกระทรวงการคลังจะได้วางแผนการกู้เงินและการระดมทุนต่อไป และควรจัดทำคู่มือขั้นตอนการดำเนินโครงการเพื่ออุดช่องโหว่การทุจริต เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานและเป็นการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบภาระงานที่ชัดเจน
“โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นโครงการที่ดีที่ช่วยเหลือเกษตรกร อย่างไรก็ตามการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ด ควรมีมาตรการวางแผนรับจำนำที่ดี และควรดูแลเรื่องข้าวสวมสิทธิ์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในอนาคตเมื่อมีการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558 นอกจากนั้นโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของประเทศไทย ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นประเทศส่งออกรายอื่นได้รับประโยชน์ ดังนั้น เพื่อลดภาระของประเทศไทยและผลประโยชน์ร่วมกันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตข้าว จึงควรได้มีการร่วมกลุ่มประเทศผู้ส่งออก กำหนดราคาขั้นต่ำในการส่งออกและร่วมกันตั้งกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาข้าวขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้ของเกษตรกรของประเทศผู้ผลิตข้าวสูงขึ้น แต่ควรส่งเสริมให้เกษตรกรมุ่งข้าวคุณภาพสูง มีความชื้นต่ำ และให้มีการแปรรูปข้าวที่มีคุณภาพต่ำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่นอาหารสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ด้าน พลังงาน ” กระทรวงการคลังระบุ
ล้อมคอก “อคส.” “อ.ต.ก” ทำข้าวหายชดใช้คืน 100%
ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแล ควบคุมติดตามการดำเนินงานโครงการรับจำนำอย่างเป็นระบบ กระทรวงการคลัง ระบุว่า ธ.ก.ส. ควรแยกบัญชีการดำเนินงานโครงการนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้รับรู้กำไร/ขาดทุนที่ชัดเจน หน่วยงานที่ได้รับเงินจากการจำหน่ายสินค้าพืชผลทุกชนิดต้องนำส่งให้ ธ.ก.ส.ภายใน 3 วัน หากล่าช้าให้ชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 15 ปี เพื่อ ธ.ก.ส.จะได้นำไปชำระหนี้และลดภาระหนี้เงินกู้ต่อไป
ขณะที่หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรักษาคลังสินค้า เช่น องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จะต้องกำกับดูแลสินค้าในสต็อกให้ดี หากสินค้าสูญหายหรือเสื่อมคุณภาพ จะต้องชดใช้ให้แก่รัฐจากหลักประกันที่วางไว้ในอัตราร้อยละ 100 ของมูลค่าสินค้า และร่วมกันปิดบัญชีเพื่อรายงานให้ ครม.รับทราบ พร้อมจัดทำเอกสารหลักฐานสำหรับเก็บข้อมูลปริมาณข้าวสารที่ได้จากการสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คุณภาพและปริมาณข้าวสาร ที่นำออกจากโกดังเป็นรายเดือน เพื่อการตรวจสอบข้อมูล
ย้ำขายข้าวในสต็อกต้องเปิดเผย-โปร่งใส!!
ส่วนการป้องกันปัญหาการทุจริต กระทรวงการคลัง ระบุว่า เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ทั้งการตั้งราคารับจำนำที่อยู่บนพื้นฐานความสมเหตุสมผล ไม่บิดเบือนกลไกตลาด การขึ้นทะเบียนและรับรองเกษตรกรเพื่อให้เฉพาะเกษตรกรที่เพาะปลูกจริงและสุจริตเท่านั้น
“ขณะที่การระบายข้าวสารจากคลังสินค้า ต้องมีแผนการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ หลักเกณฑ์ วิธีการและรายละเอียดในการดำเนินการระบาย หรือจำหน่ายข้าวที่อยู่ในคลัง หรือโกดังกลางซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ อคส.หรือ อ.ต.ก. ให้ประกาศโดยเปิดเผยเป็นที่ทราบแก่บุคคลทั่วไป และดำเนินการด้วยความโปร่งใส” กระทรวงการคลังระบุ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า หนังสือความเห็นของกระทรวงการคลังเรื่องการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวฉบับดังกล่าว ได้ถูกส่งเข้ามาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี รับทราบ หลังวันประชุมครม.เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555
อย่างไรก็ตาม สำนักเลขาธิการ ครม. ได้นำส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบประกอบการรับรองมติการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 แล้ว
ทั้งนี้ ในการประชุม ครม. วันที่ 2 ตุลาคม 2555 นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งให้ที่ประชุม ครม.รับทราบเพิ่มเติมว่า การดำเนินการระบายข้าวของรัฐบาลได้มีการระบายข้าวไปแล้วจำนวน 8.38 ล้านตัน และมีเงินสดที่ได้รับแล้วประมาณ 40,000 ล้านบาท และคาดว่าจะได้รับเงินจากการขายข้าวสารก่อนสิ้นปี 2555 อีกจำนวนประมาณ 45,000 ล้านบาท รวมทั้งจะได้รับเงินจากการจำหน่ายข้าวสารในช่วงเดือนมกราคม 2556 อีกจำนวน 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินสดที่ได้รับจากการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้งหมดจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2556 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 125,000 บาท และคาดว่าจะมีเงินที่ได้รับคืนจากการขายข้าวสารโครงการดังกล่าว จนถึงสิ้นปี 2556 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ประมาณ 260,000 ล้านบาท
