‘นักจิตวิทยา’ คลอดเครื่องมือดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยง เชื่อหยุดอาชีวะตีกันได้ 100%
นักจิตวิทยา-สช.-สสส. จับมือพัฒนาเครื่องมือดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยง หวังปรับพฤติกรรมรุนแรง ตั้งแต่วัยเด็ก เชื่อแก้ปัญหาอาชีวะตีกันได้ 100 %
วันที่ 18 ตุลาคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดอบรมพัฒนาศักยภาพอาจารย์ในการดูแลช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต เพื่อป้องกันพฤติกรรมรุนแรงในนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีมีนบุรีโปลีเทคนิค มีนางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส. ดร.นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผอ.โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา ในฐานะผู้จัดทำโครงการพัฒนารูปแบบการดูแลช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต เพื่อป้องกันพฤติกรรมรุนแรงในนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา เป็นประธานการอบรม โดยมีครู อาจารย์จากวิทยาลัยมีนบุรีฯ กว่า 50 คนเข้าร่วมอบรมครั้งนี้
ดร.นพ.พิทักษ์พล กล่าวถึงปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเด็ก นักเรียน นักศึกษาว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากวัยเด็ก ผู้ใหญ่ขาดความเข้าใจในตัวเด็ก ประกอบกับระบบการศึกษาไทย ครูไม่เข้าใจหลักจิตวิทยา ซึ่งเราสามารถแบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มเสี่ยงเล็กน้อย 2.กลุ่มเสี่ยงปานกลาง และ 3.กลุ่มเสี่ยงมาก โดยในส่วนเด็กกลุ่มเสี่ยงมากนั้น จะพบว่า มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อครูผู้สอน เมื่อทำความผิดและถูกลงโทษต่อหน้าชั้นเรียน ทำให้เกิดความอับอาย และไม่อยากไปเรียนหนังสือ โดดเรียน ออกไปเล่นเกม สูบบุหรี่ ฯ ดังนั้น หลักของการจัดการปัญหาคือ ครูควรทราบว่า 1.ใครที่เสี่ยง 2.เวลาใดที่เสี่ยง และ 3. สถานที่ใดที่เสี่ยง เพื่อจัดการปัญหาได้ตั้งแต่เริ่มต้น
“จากการศึกษาข้อมูลของต่างประเทศพบว่า อีกต้นเหตุของความเบี่ยงเบนคือ ความเจ็บป่วย เช่น สมาธิสั้น แต่ครูแยกไม่ออกว่าเป็นเด็กดื้อ หรือสมาธิสั้น หรือเด็กที่มีไอคิวต่ำ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของต่างประเทศที่ระบุชัดเจนว่า การที่เด็กโดนทารุณ ถูกตีแบบไม่มีเหตุผล เด็กจะจดจำในสมองส่วนที่ลึกที่สุด ทำให้เกิดปมแต่วัยเด็ก และสมองของเด็กกลุ่มนี้จะโตตามสิ่งกระตุ้น การแก้ปัญหาที่ได้ผลจึงควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก และแยกแยะให้ได้ว่าเด็กคนไหนมีปัญหาที่จุดใดเพื่อดูแลได้อย่างเหมาะสม แต่ทุกวันนี้เราวิ่งตามปัญหา เป็นการแก้ปัญหาที่ท้ายน้ำ ซึ่งเป็นเพียงการบรรเทาเท่านั้น ไม่ได้แก้ที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ทำให้แก้ได้อย่างมากก็แค่ 50% ไม่มีทางถึง 100% ได้อย่างแน่นอน” ดร.นพ.พิทักษ์พล กล่าว
ดร.นพ.พิทักษ์พล กล่าวอีกว่า ปัญหาพฤติกรรมของเด็กจะเกิดจากตัวเด็กเอง 30% และอีก 70% สาเหตุจากปัจจัยภายนอก เช่น 1.เพื่อน ซึ่งมีอิทธิพลมาก ต้องพยายามไม่ให้เพื่อนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจับกลุ่มกัน 2.ครอบครัว เด็กกลุ่มเสี่ยงมักมาจากครอบครัวที่มีปัญหา 3. อาจารย์ เพราะจากการสัมภาษณ์พบว่าอาจารย์ก็มีผลต่อค่านิยม 4. ประวัติศาสตร์โรงเรียนที่รุ่นพี่รุ่นน้องเล่าสู่กันฟังมีผลต่อค่านิยมการใช้ความรุนแรง จึงต้องเปลี่ยนเป็นศักดิ์ศรีเชิงบวก ที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาคือผู้บริหารโรงเรียนต้องจริงจังและคิดจะเปลี่ยนไม่ให้ถูกส่งต่อมา พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ใหม่เชิงบวก เป็นเลิศในทางที่ดี 5. ทัศนคติของชุมชน สังคมมองว่าเด็กอาชีวะใช้ความรุนแรง จึงไม่ส่งเสริมให้เรียน 6. ข่าวในเชิงบวกไม่ค่อยได้รับความสนใจ จึงถูกเผยแพร่น้อย 7.บทบาทของตำรวจต้องช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ใช่การลงโทษ
“จากการประเมินผลพฤติกรรมรุนแรงสำหรับวัยรุ่นตามคู่มือการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพและบุคลิกภาพนักเรียน นักศึกษา สามารถคัดแยกเด็กได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ใกล้ชิด ต้องมีครูที่เป็นเหมือนพ่อแม่อุปถัมภ์ สามารถเปิดใจคุยปัญหาได้ทุกเรื่อง และติดตามเยี่ยมบ้านอย่างใกล้ชิด กลุ่มเด็กที่ 2 ห่วงใย มีประมาณ 10-20% เป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง เริ่มมีผลการเรียนตกต่ำ ใช้สารเสพติด ต้องปรับเป็นกลุ่มปกติให้ได้ โดยจัดหาอาสาสมัครเข้ามาช่วยกันดูแล อาจจะเป็นลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อให้เกิดการยอมรับในกลุ่ม และกลุ่มที่ 3 กลุ่มวางใจ มุ่งที่จะปรับพฤติกรรมทุกคนทั้งโรงเรียน โดยใช้เวลาสัปดาห์ละ 1 คาบ จัดกิจกรรมทางจิตวิทยา ให้ครูเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ หากทุกคนร่วมใจแก้ปัญหาเชื่อว่าจะแก้ได้อย่างแท้จริง”ดร.นพ.พิทักษ์พล กล่าว
ด้านนางเพ็ญพรรณ กล่าวว่า กลุ่มนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาถือว่าเป็นวัยที่มีปัจจัยความเสี่ยงหลายเรื่อง จึงจำเป็นต้องดูแล แก้ไขแบบรอบด้าน เพื่อให้มีสุขภาวะที่ดีแบบองค์รวม ทั้งนี้ สำหรับวิทยาลัยเทคโนโลยีมีนบุรีโปลีเทคนิค จะเป็นสถานศึกษานำร่อง เพื่อทดลองใช้เครื่องมือดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะสามารถปรับทัศนคติของผู้บริหาร ครู อาจารย์ และผู้ปกครอง พัฒนาความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษาได้ อย่างไรก็ตาม คงต้องรอผลการดำเนินงานของโครงการอีกระยะหนึ่ง โดยจะยังไม่รีบเร่งขยายผลในทันที เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม และเน้นที่การพัฒนาทักษะชีวิตของกลุ่มนักเรียน นักศึกษาให้เข้มแข็งมากขึ้น
