องค์กรสิทธิฯเอเชียแถลงซัด ตร.ไทยอุ้มสีกากีคดีฆาตกรรม-เครือข่ายอุปถัมภ์ซึมลึก

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2555 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย(เอเอชอาร์ซี)ได้ออกแถลงการณ์กรณีประเทศไทย: ตำรวจไทยได้รับเงินช่วยเหลือกรณีฆาตกรรมในระหว่าง “ปฏิบัติหน้าที่”โดยระบุว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียรู้สึกตกใจที่ได้ทราบว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้มอบเงินจำนวนหนึ่งแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 5นายที่ถูกศาลตัดสินเกี่ยวข้องกับคดีสังหารนายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง วัยรุ่นคนหนึ่ง ในระหว่าง “สงครามยาเสพติด” เมื่อปี 2547
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2555 พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ผบช.ภ.4มอบเงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่ พ.ต.ท.สุมิตร นันสถิต พร้อมพวก รวม 4 คน โดยข่าวนี้ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของตำรวจภูธรภาค4 ข้อมูลจากเว็บไซต์แจ้งว่า เงินจำนวนนี้เพื่อช่วยเหลือนายตำรวจทั้ง 5 นายในกรณีถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งที่ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ (ที่มาภาพ จาก: ตำรวจภูธรภาค4)
คำแถลงซึ่งประกาศออกมาไม่นานภายหลังจากที่ศาลตัดสินคดีนี้ (AHRC-STM-157-2012), เอเอชอาร์ซีเห็นว่าคำตัดสินนี้เป็นหลักหมายสำคัญในฐานะที่เป็นสัญญาณอันชัดเจนว่าอย่างน้อยที่สุดระบบยุติธรรมของไทยยังมีความตั้งใจให้ตำรวจต้องรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงนอกกระบวนการยุติธรรมต่อพลเมือง
โดยสรุปข้อเท็จจริงคดีนี้มีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา ว่าตำรวจ 5ใน 6 นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง อายุ 17 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2547 จำเลยทั้ง 6 นายได้แก่ ด.ต.อังคาร คำมูลนา ด.ต.สุดธินัน โนนทิง ด.ต.พรรณศิลป์ อุปนันท์ พ.ต.ท.สำเภา อินดี อดีต สวป.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ พ.ต.อ.มนตรี ศรีบุญลือ และ พ.ต.ท.สุมิตร นันท์สถิต ทั้งหมดสังกัดสถานีตำรวจจังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ตำรวจจับกุมตัวนายเกียรติศักดิ์ เมื่อ 16 กรกฎาคม 2547 ในข้อหาลักทรัพย์มอเตอร์ไซค์ เมื่อครอบครัวทราบข่าวได้ไปยังสถานีตำรวจและพยายามจะคุยกับเขา
หลังจากเดินทางไปมาอยู่หลายเที่ยว ยายของเขาได้รับอนุญาตให้เป็นพยานในการสอบสวนเมื่อ 22กรกฎาคม 2547 และ (ตำรวจ) บอกว่า ให้รอประกันตัวในวันถัดไป แต่เกียรติศักดิ์ไม่เคยได้กลับบ้านเลยนับแต่วันนั้น และหลังจากนั้นอีกหลายวันพบร่างถูกทำร้ายของเขาในจังหวัดใกล้เคียง จากกรณีการตายของเขา ทางครอบครัวได้รณรงค์ให้มีการสอบสวนและนำตำรวจกาฬสินธุ์ทั้ง 27 นายในสถานีเดียวกันที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการสังหารครั้งนี้ ระหว่างการทำสิ่งที่เรียกว่า “สงครามยาเสพติด” หลังจากใช้ความพยายามเป็นพิเศษ ในที่สุดศาลตัดสินให้ประหารชีวิตตำรวจ 3 นาย ในขณะที่ตำรวจนายหนึ่งต้องคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต และอีกนายหนึ่งจำคุก 7 ปี
แทนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใช้ความรุนแรงนอกกระบวนการยุติธรรมต่อพลเมืองของตนจะต้องรับผิด กลับปรากฏว่าคนร้ายคดีอาญาในประไทยนั้นบ่อยครั้งกลับได้รับรางวัล ตัวอย่างเช่น ตำรวจผู้ก่อคดีอาญาและฆ่าทนายสิทธิมนุษยชน สมชาย นีละไพจิตร กลับได้รับการเลื่อนขั้นในขณะที่คดีกำลังพิจารณาอยู่ในศาลอาญา ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาเรื่องการทรมานและฆ่าอีกหลายรายนั้น ถูกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ “ถูกแขวน” เอาไว้ หลายกรณีพิจารณาลงโทษทางวินัยเมื่อสาธารณชนให้ความสนใจ แต่เกือบทุกกรณีผู้กระทำผิดยังคงอยู่สุขสำราญจากการยกเว้นโทษ ไม่ได้ถูกลงโทษอย่างเหมาะสม พวกเขาไม่ได้รับความสนใจและยังอยู่สุขสบายโดยปริยาย ดังนั้นหนึ่งในผลกระทบระยะยาวทำให้เกิดการปฏิบัติเหล่านี้สะสมมากขึ้น พอกพูนกลายเป็นการเว้นโทษจากความรุนแรงโดยรัฐในประเทศไทย
ในกรณีของนายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง จึงเป็นกรณีที่ชัดเจนกว่ากรณีวิสามัญฆาตกรรมรายอื่นในประเทศไทยช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งศาลยุติธรรมไม่เข้าข้างเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงอีกหลายกรณีการตายของคดีตากใบเมื่อ ตุลาคม 2547 และเหตุการณ์ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ในกรุงเทพฯ แม้แต่ในกรณีซึ่งชาวบ้านตายอยู่ในระหว่างคุมขังอันเนื่องมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น กรณีการทรมานจนถึงแก่ความตายของอิหม่าม ยะผา กาเซ็ง เมืองเดือนมีนาคม 2552 การกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐในครั้งนั้นถูกจัดให้เป็นเรื่องปฏิบัติตาม “หน้าที่” และผู้กระทำผิดได้รับการยกฟ้อง
การกระทำของพล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ เป็นอีกความพยายามที่จะทำลายจุดยืนความกล้าหาญของศาลอาญาและเพื่อจะฟื้นฟู “ความปกติ” ให้กลับมาสู่ระเบียบดังเดิม ที่ตำรวจได้อยู่อย่างสุขสำราญในการเว้นโทษต่อการทรมาน การฆ่า การอุ้มผู้ต้องหา และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ อีกมาก
เงินช่วยเหลือที่พล.ต.ท.สมพงษ์ มอบให้นายตำรวจทั้งห้านาย และยืนยันสิทธิว่าเป็นการช่วยเหลือในการสู้คดีที่เกิดขึ้นจากการทำในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นการบ่งบอกถึงวัฒนธรรมแห่งความไม่รับผิดชอบที่แทรกซึมอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย
เป็นการกระทำที่หมายความว่าความพยายามของศาลที่จะให้ตำรวจอยู่ใต้กฎหมายที่เขาอ้างว่าใช้บังคับ แท้จริงแล้วเป็นการกระทำที่ลบเส้นแบ่งระหว่างกฎหมายและความรุนแรงนอกกระบวนการยุติธรรมไปพร้อมกัน โดยเทียบเคียงได้ว่าการทรมานและการฆ่าวัยรุ่นผู้นั้นเป็นการปฏิบัติงานตามปกติของตำรวจ และมิใช่เป็นการกระทำที่ควรจะถูกลงโทษ
ยิ่งไปกว่านั้น การขาดความชัดเจนว่า การที่ พล.ต.ท.สมพงษ์ มอบเงินให้ในครั้งนี้จะเป็นเรื่องทางการหรือส่วนตัวก็ตาม ก็ควรจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับรูปแบบการเว้นโทษภายในระบบตำรวจไทย
รายงานในเว็บไซต์ของตำรวจภูธรภาค 4 ประกอบด้วยข้อความอธิบายและภาพประกอบ 3 ภาพ โดยภาพหนึ่งเป็นภาพของ พล.ต.ท.สมพงษ์ กำลังมอบเงินให้แก่นายตำรวจทั้งห้านาย เป็นที่น่าสังเกตว่านายตำรวจทั้งห้ายังคงสวมเครื่องแบบ เนื่องจากพวกเขายังคงอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการยื่นขอประกันตัว แม้ตามข้อเท็จจริงพวกเขาต้องคดีอาญาก็ตาม
ในทางตรงข้าม พล.ต.ท.สมพงษ์ กลับมิได้สวมเครื่องแบบตำรวจ ซึ่งอาจจะหมายถึงว่าการเลือกไม่สวมเครื่องแบบนั้นคือการมอบของขวัญส่วนตัว อย่างไม่เป็นทางการ แต่การโพสต์ภาพและข่าวบนเว็บไซต์ของตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่าให้ความสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าการเว้นโทษต่อความรุนแรงนอกระบบยุติธรรมจะดำเนินการผ่านนโยบายตำรวจอย่างเป็นทางการหรือไม่ทางการ
กระนั้นก็แสดงให้เห็นถึงเครือข่ายอุปถัมภ์ยังดำรงอยู่ เป็นสารที่สื่อจากตำรวจถึงประชาชนว่า “เราจะปกป้องพวกของเรา ไม่ใช่คุณ” มันเป็นข้อความที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายแสนจะคุ้นเคย
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย เรียกร้องต่อพล.ต.ท.สมพงษ์ เป็นการเฉพาะ และตำรวจไทยทั้งหลาย ให้แสดงจุดยืนต่อความรุนแรงนอกระบบยุติธรรม ในกรณีการฆ่านายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง และกรณีที่คล้ายกัน ขอให้แสดงความชัดเจนระหว่างการปฏิบัติหน้าที่กับการฆ่า
ขอเรียกร้องให้ พล.ต.ท.สมพงษ์ เรียกเงินที่ให้ไปกลับคืนมา เรียกร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้พักราชการนายตำรวจทั้งห้าที่พบว่าเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมอย่างร้ายกาจ ให้ยุติการให้รางวัลและลงโทษตามลำดับทั้งผู้ที่ทรมานและลงมือฆ่า
เป็นที่น่าเสียใจว่าจำนวนตำรวจเช่นว่านั้นในประเทศไทยไม่ได้มีจำนวนน้อย และกระบวนการที่จะถอนรากถอนโคนออกไปตามยศชั้นก็คงต้องใช้เวลายาวนาน แต่ก็จะต้องมีการเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง ศาลาอาญาได้ให้โอกาสตำรวจในกรณีนี้ให้กระทำการเช่นว่ามา สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะฉวยโอกาสนี้ เพื่อที่อย่างน้อยจะเป็นการเริ่มต้นการเป็นตำรวจอาชีพ มากกว่าทำตัวเป็นแก๊งอาชญากรในเครื่องแบบ และร่วมมือกับศาลในการคัดค้านตำรวจฆาตกร แทนที่จะปกป้องฆาตกรที่มียศในนามของการปฏิบัติ “หน้าที่”
หมายเหตุ- เอเอชอาร์ซี: คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในระดับภูมิภาค ที่เฝ้าระวังเรื่องสิทธิมนุษยชนในเอเชีย มีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2527
