ประมูล 3G กับ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540

วันที่ 22 ตุลาคม ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักสื่อสารมวลชน และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี 2540 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Somkiat Onwimon แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง 'รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ. 2540 กับการจัดสรรคลื่นความถี่ กรณีประมูล 3G' มีข้อความระบุดังนี้
เมื่อปี 2540 ผมเป็นตัวแทนชาวจังหวัดสุพรรณบุรีและประชาชนไทยทั้งประเทศ ทำหน้าที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เพราะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด 99 คน มี 76 คนมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม เป็นตัวแทนของประชาชนของจังหวัดของตน มีสมาชิกอีก 23 คนมาจากนักคิดนักวิชาการและผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองทำหน้าที่ตัวแทนความคิดของชาติและของโลกรัฐศาสตร์เท่าที่จะพึงมีขีดความสามารถในการประยุกต์สรรพวิชามาให้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญในปี 2540 จะเชื่อมโยงกับประชาชนอยู่ตลอดเวลา ทั้งการจัดการประชุม จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้ง 76 จังหวัดทั้งรับฟังความเห็นผ่านสื่อสารมวลชน ผ่านจดหมายแสดงความเห็นโดยตรง ผ่านกระบวนการสำรวจความคิดเห็นและเวทีรับฟังความเห็นระดับชาติ
ศาสตราจารย์ ดร.อมร รักษาสัตย์ ผู้ล่วงลับแล้ว เป็นประธานคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นประชาชน ส่วนผมเองเป็นประธานคณะกรรมาธิการประชาสัมพันธ์ ในฐานะประธานกรรมาธิการโดยตำแหน่งผมได้รับโอกาสเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมรัฐธรรมนูญด้วย
เมื่อเป็น สสร.จากจังหวัดสุพรรณบุรี ผมได้ทำงานระดับจังหวัดด้วย จึงตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์สภาร่างรัฐธรรมนูญประจำจังหวัดสุพรรณบุรี จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นชาวสุพรรณฯในระดับอำเภอทุกอำเภอ รวมทั้งจัดประชุมระดับจังหวัดอีกหนึ่งครั้ง จึงสามารถกล่าวได้ว่าได้ฟังความเห็นชาวสุพรรณทั้งจังหวัดทุกตำบลอำเภอ แม้จะไม่ทุกคนก็ตาม
การเป็นประธานกรรมาธิการประชาสัมพันธ์ของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้ผมได้ตระเวนไปทั่วประเทศไทย ร่วมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในกิจกรรมที่ สสร.แต่ละจังหวัดจัด ได้รับทราบความคิดเห็น อารมณ์และความรู้สึกของประชาชนไม่น้อย ถือเป็นการทำงานรับฟังความเห็นระดับชาติอย่างแท้จริง
ความคิดเห็นประชาชนผ่านกระบวนการต่างๆ นับรวมแล้วได้ประมาณ 1 ล้านคน (นับจำนวนผู้เข้าประชุม ผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้เขียนจดหมายตรงถึงสภาร่างรัฐธรรมนูญ ผู้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสารมวลชน ฯลฯ) หรืออาจจะบวกอีก 2 ล้านคนหากนับเฉลี่ยจากจำนวนเอกสารที่แจกทั่วประเทศรวมประมาณ 4 ล้านรายการ (หนังสือกรอบประเด็นปัญหา, ร่างรัฐธรรมนูญ, เอกสารสรุปข้อมูล, แผ่นพับ, สติ๊กเกอร์, แผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ วัสดุประชาสัมพันธ์ต่างๆ เช่น เสื้อ, ธง, หมวก, แผ่นผ้า, ฯลฯ) กรรมาธิการประชาสัมพันธ์ที่ผมเป็นประธานคนแรก - และต่อมาอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ มารับช่วงเป็นประธานต่อตอนปลายสมัย - ใช้งบประมาณทั้งหมดราว 40 ล้านบาท เหตุที่รัฐบาลไทยสมัยนั้นการเงินฝืดเคือง แม้จะจัดงบประมาณให้แต่ก็เบิกใช้ไม่ได้จนกระทั่งร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ บริษัทคิธแอนด์คินคอมมิวนิเคชั่น ที่รับงานวางแผนและผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ให้สภาฯต้องจ่ายเงินไปเองก่อนนานถึง 8 เดือนกว่าจะเบิกเงินได้
การได้เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการผลักดันความคิด ทั้งที่มาจากความคิดของประชาชน และทั้งที่เป็นความคิดเห็นของตัวผมเองที่สั่งสมมาตลอดชีวิตการงานและปราถนาจะเห็นปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 นี้ ความคิดเห็นส่วนตัวเองนี้อาจจะฟังประชาชนบ้าง และเอาตัวเองเป็นหลักโดยไม่ฟังประชาชนด้วยบ้างก็มี...และมีไม่น้อย
เรื่องที่ผมไม่เริ่มด้วยการฟังประชาชนเลย แต่เอาตัวเองเป็นหลัก คือเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่ ซึ่งผมร่างความคิดส่วนตัวเสนอต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อันมีท่านอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน
ช่วงแรกเริ่มคณะกรรมาธิการยกร่างฯจะประชุมกันเพื่อวางกรอบประเด็นปัญหาในการปฏิรูปการเมืองไทย เรียกว่า “กรอบเบื้องต้น ร่างรัฐธรรมนูญแบับประชาชน” เพื่อจะได้กำหนดว่าแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญควรจะเป็นทิศทางใด ผมเสนอให้จัดรูปแบบการจัดสรรกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ใหม่หมด โดยให้คิดว่าคลื่นความถี่ทั้งหมดเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของรัฐบาล ไม่ใช่ของหน่วยราชการ วิทยุกับโทรทัศน์ควรจะแบ่งให้ภาครัฐเอาไปทำตามที่เห็นเหมาะสม แบ่งให้ภาคประชาชนพลเมืองเอาไปใช้ประโยชน์ชุมชนและสาธารณะบ้าง และแบ่งให้ภาคธุรกิจเอกชนเอาไปทำบ้าง ให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสทำงานใช้ประโยชน์จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอยู่ในบรรยากาศเหนือประเทศไทยตามที่กำหนดโดยองค์กรกลางของโลกที่เรียกว่า “สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ” (International telecommunication Union - ITU) ผมหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องวิทยุและโทรทัศน์เท่านั้น เพราะชีวิตการงานที่ผ่านไปก่อนจะถึงวันที่มาเป็นผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญของประเทศล้วนแล้วแต่มีปัญหาเรื่องการหาโอกาสทำงานผลิตข่าวสารสาระความรู้ และหาที่ออกอากาศรายการทั้งวิทยุและโทรทัศน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงมีผลงานมากมายแค่ไหนก็ต้องผ่านกระบวนการ “กักบริเวณ” ในการทำธุรกิจทั้งสิ้น ส่วนราชการเป็นเจ้าของคลื่นความถี่และเป็นผู้ประกอบกิจการสถานีออกอากาศทั้งสิ้น หากผมหรือเอกชนรายอื่นมีความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างกัน การงานก็จะราบรื่น หากเปลี่ยนผู้บริการสูงสุดของสถานี หรือเปลี่ยนรัฐบาลและเปลี่ยนรัฐมนตรีผู้มีอำนาจบิดเบือนโอกาส ชีวิตและอนาคตของกิจการของผมก็จะลำบากแร้นแค้นไปด้วย
ผมจึงเสนอให้รัฐธรรมนูญรับรองว่ากิจการวิทยุและทีวี- ซึ่งต่อมาเรียกว่า”กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์” - เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมืองไทย โดยให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ปัญหาอำนาจรัฐบาลและข้าราชการที่มีอยู่มากจนขาดความยุติธรรมในการให้โอกาสภาคเอกชนและประชาชนในการประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ ข้อเสนอของผมเป็นที่แปลกใจของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีท่านอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ซึ่งเป็นกรรมาธิการอยู่ด้วยยังบอกว่าไม่เคยเห็นรัฐธรรมนูญประเทศไหนในโลกที่บัญญัติเรื่องคลื่นความถี่เอาไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่ท่านก็เห็นว่าหากคิดว่าจะแก้ปัญหาสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนไทยได้ด็เห็นควรตามที่ผมเสนอ
เรื่องโทรคมนาคมเป็นเรื่องที่ผมมิได้คิดถึงเลยว่าจะมาอยู่ในมาตราเดียวกันกับที่ผมเสนอเรื่องวิทยุและโทรทัศน์ แต่กิจการโทรคมนาคมก็เป็นกิจการที่ใช้คลื่นความถี่เช่นเดียวกับวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ศาสตราจารย์ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ ในฐานะกรรมาธิการยกร่างฯอีกท่านหนึ่งจึงเสนอต่อที่ประชุมกรรมาธิการฯว่าควรจะรวมเอาเรื่องโทรคมนาคมไว้ด้วยในมาตราเดียวกันที่จะจัดการเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่ ในปี 2540 นั้นกิจการโทรคมนาคมกำลังยิ่งใหญ่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลทางธุรกิจ สร้างความร่ำรวยให้กับผู้ทำธุรกิจและภาครัฐ เป็นช่องทางหาประโยชน์ส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้องจนไม่มีใครคิดออกว่าจะดึงประโยชน์มาให้ประชาชนได้อย่างไร อาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์บอกว่าต้องให้การจัดสรรคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมถูกควบคุมโดยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญด้วย อย่าได้คิดว่าโทรคมนาคมเป็นธุรกิจที่จะเปิดประมูลหารายได้เข้ารัฐเท่านั้น กิจการโทรคมนาคมเช่นการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม กิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเตอร์เน็ต ควรจะต้องกำกับดูแลให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ประโยชน์ในการหาเงินเข้ารัฐสูงสุด แต่ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง เช่นให้ค่าบริการถูกลง บริการให้ทั่วถึงทุกหนแห่งแม้กระทั่งถิ่นทุรกันดารห่างไกลความเจริญก็ต้องให้เอกชนผู้ได้สัมปทานในราคาที่ไม่สูงไม่แพง ได้ลงทุนขยายพื้นที่บริการให้ถึงทุกซอกมุมของแผ่นดินไทย ให้ประชาชนได้ใช้กันมากๆ ใช้กันใหั่วถึง ใช้กันในอัตราค่าบริการที่ไม่แพง ใช้กันฟรีหากเป็นบริการสาธารณะประโยชน์ เช่นด้านการศึกษา และการสื่อสารเพื่อสร้างสังคม พูดกันตรงๆง่ายๆก็คือ ต้องให้ค่าอินเตอร์เน็ตถูกลง และควรจะฟรีสำหรับโรงเรียน สถานที่ราชการการและท้องถิ่นที่ด้อยโอกาส และพร้อมกันนั้นก็ให้มีผู้ให้บริการภาคเอกชนที่มีคุณภาพและคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ
ในที่สุดเราก็ได้มาตรา 40 ในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ. 2540 ซึ่งบัญญัติดังนี้:
มาตรา 40
คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และ
วิทยุ โทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรมความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะอื่น รวมทั้งการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
มาตรา 40 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ถูกปรับแก้และเพิ่มเติมเล็กน้อยและเปลี่ยนเลขมาตราเป็นมาตรา 47 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนี้:
มาตรา 47
คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และวิทยุโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรมความมั่นคงของรัฐ (และ)ประโยชน์สาธารณะอื่น และ(รวมทั้ง)การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม รวมทั้งต้องจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อสารมวลชนสาธารณะ
การกำกับการประกอบกิจการตามวรรคสองต้องมีมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการควบรวม การครองสิทธิข้ามสื่อ หรือการครอบงำ ระหว่างสื่อมวลชนด้วยกันเองหรือโดยบุคคลอื่นใด ซึ่งจะมีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร หรือปิดกั้นการได้รับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายของประชาชน
[หมายเหตุ: ข้อความขีดเส้นใต้ เป็นข้อความเพิ่มเติมใหม่ ข้อความ (ในวงเล็บ) เป็นข้อความเดิมที่ตัดทิ้ง]
สังคมไทยใช้เวลา 15 ปี กว่าความประสงค์ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนร่วมร่างจะบรรลุเป้าหมาย ณ จุดแรกเริ่ม คือการได้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ ในนาม “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เวลาที่เสียไป 15 ปี ด้วยเหตุแห่งความไม่สงบและไม่โปร่งใสทางการเมือง เป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจและเสียหายในการพัฒนาความก้าวหน้าในการสื่อสารเพื่อประโยชน์ของชาติอย่างประเมินค่ามิได้
เมื่อ กสทช. จัดการประมูลเพื่อใช้คลื่นความถี่รุ่น 3 หรือ 3G (Generation 3) ผ่านพ้นไปได้ หลังจากกระบวนการล้มลุกคลุกคลานมานาน ท่ามกลางการบ่นจากสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งว่าได้เงินค่าประมูลน้อยไป เพราะสูงกว่าราคากลางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กสทช.ตั้งราคาตั้งต้นที่ 4,500 ล้านบาทต่อหนึ่งชุดความถี่ ซึ่งมีทั้งหมดสามชุดหรือที่เรียก
ว่า slot ได้เงินเข้ารัฐจากการประมูลรวม 41,625 ล้านบาท หรือสูงกว่าราคาตั้งต้น 2.8% โดยเปรียบเทียบถือว่าสูงกว่าญี่ปุ่น มาเลเซีย และสิงคโปร์
รัฐธรรมนูญมีเจตนารมย์ที่จะให้กิจการโทรคมนาคมเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณชนให้ประชาชนได้ประโยชน์ในการได้รับการบริการที่ราคาเหมาะสมหรือราคาถูกได้รับบริการ สะดวก รวดเร็วอย่างทั่วถึงทุกหนแห่งมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ การจัดการประมูลล่าช้าถึง 15 ปี เป็นความผิดของรัฐบาลที่ผ่านๆ มาที่ขาดพลังทางการเมืองเพื่อประโยชน์สาธารณะ และการแทรกแซงของนักการเมืองที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในกิจการโทรคมนาคม
การเกิดช้าของ กสทช. เป็นผลพวงของการเมืองที่คำนึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวของพรรคและผู้นำพรรคที่มีผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมกับธุรกิจโทรคมนาคม
การที่ สกทช. เปิดให้บริษัทเอกชนเท่าที่มีอยู่สามรายได้มีโอกาสในการทำธุรกิจเท่าเทียมกันทั้งสามรายโดยไม่กำจัดคู่แข่งด้วยจำนวนเงินประมูลนั้นถือเป็นเรื่องดี เป็นความกล้าหาญน่ายกย่องของ กสทช. ที่สร้างสนามแข่งขันทางธุรกิจบริการที่เท่าระดับกัน
การที่ กสทช.ตั้งราคาขั้นต่ำหรือราคาตั้งต้นไว้และได้ราคาประมูลที่ไม่ต่ำกว่าที่ตั้งไว้ แม้จะไม่สูงกว่าที่ตั้งไว้มากนัก แต่ก็ถือว่าราคาตั้งต้นก็สูงกว่าหลายประเทศที่ร่ำรวยกว่าประเทศไทยมากแล้ว ก็ถือว่า กสทช.ปกป้องผลประโยชน์ของชาติโดยตรงเมื่อดูที่ยอดเงินประมูล
สิ่งที่ กสทช. ควรทำเป็นเงื่อนไขในการประมูลด้วย แต่มิได้ทำ คือการกำหนดกรอบบังคับให้ประชาชนได้ประโยชน์โดยตรงในเรื่องการบริการที่ต้องทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ การติดตั้งระบบบริการที่รวดเร็ว อัตราค่าบริการที่ถูกลง การให้บริการอินเตอร์เน็ตที่ควรให้ฟรีเพื่อประโยชน์สารธารณะ ด้านการศึกษา วัฒนธรรมและความมั่นคง ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ -- โรงเรียน นักเรียน นักศึกษา บริการชุมชนห่างไกลด้อยโอกาส -- ควรจะให้บริการฟรี หรือในราคาถูกที่สุด
เมื่อ กสทช.มิได้วางเงื่อนไขเรื่องประโยชน์สาธารณะไว้แต่ต้นเพราะความห่วงใยในเรื่องปริมาณเงินที่วัดได้เป็นรูปธรรมชัดเจน เทียบกับเรื่องคูณภาพการให้บริการที่ต้องมีกระบวนการประเมินที่เข้มข้นชัดเจนยิ่งกว่า ก็ถือเป็นวิธีทำงานของ กสทช. จากนี้ต่อไป เชื่อว่ากระบวนการคัดค้านการประมูลที่เป็นสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิร้องเรียนจะผ่านไปอย่างราบรื่น จากนั้นต่อไปในวันลงนามในสัญญาสัมปทาน ขอให้เป็นหน้าที่ของ กสทช.ที่จะเพิ่มเติมเงื่อนไขตามที่กล่าวข้างต้นให้ภาคเอกชนทั้งสามรายที่ชนะการประมูลได้ประกอบกิจการตามเงื่อนไขที่สามารถบังคับเพิ่มเติมได้
หากทำได้อย่างที่ว่านี้แล้วจึงจะครบสมบูรณ์ในการทำหน้าที่องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระจากการเมืองและธุรกิจอื่นใดที่มีแรงกดดันอยู่ได้
กสทช.จะได้เป็นตัวแทนผู้ทำหน้าที่ปกป้องผลระโยชน์ของประชาชนได้อย่างสมภาคภูมิ
สมเกียรติ อ่อนวิมล
22 ตุลาคม 2555
ที่มาภาพ: อินเทอร์เน็ต
