หมัดต่อหมัด เปิดคำโต้แย้งเดือด “ทีดีอาร์ไอ-กทค.“ ปมประมูล 3 จี
คำโต้แย้งร้อนๆ ปมประมูล 3 จีในเวที กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ระหว่าง "สมเกียรติ" ประธานทีดีอาร์ไอ กับ กทค.ที่นำโดย "เศรษฐพงศ์-สุทธิพล"

เมื่อวันที่ 24 ต.ค. เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลธราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธาน มีวาระสำคัญได้แก่การพิจารณาหลักเกณฑ์การประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือไลเซ่นส์ คลื่นความถี่ 3 จี 2.1 กิกะเฮิร์ตซ์ ตลอดจนผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการประมูลดังกล่าว
มีการเชิญตัวแทนจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และตัวแทนสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มาชี้แจง
ช่วงแรกจะเป็นการให้ผู้มาชี้แจงพูดยาวๆ โดย กมธ.จะถามแทรกเป็นระยะ ช่วงหลังจะเป็นการตอบโต้กันเองระหว่างผู้มาชี้แจง
-ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ
ตลาดโทรคมนาคมไทยมีการแข่งขันน้อยราย AIS 53% DTAC 33% และ TRUE 14%
ทั้งนี้มีความเข้าใจผิดว่า ถ้าประมูลในราคาสูงจะมีผลกระทบต่อค่าบริการ เพราะก่อนการประมูล ผู้ประกอบการจะดูขนาดตลาด ถ้ามีคนใช้เยอะ พร้อมจะจ่ายแพงๆ ก็คิดค่าบริการสูงได้ มีคู่แข่งกี่ราย ถ้าเยอะ ก็คิดค่าบริการสูงไม่ได้ ถ้าคู่แข่งน้อย ก็คิดค่าบริการสูงได้ นอกจากนี้จะดูโอกาสการทำงาน สมมุติ มีโอกาสทำเงิน 4 แสนล้านบาท แล้วคู่แข่งมีเพียง 3 ราย ก่อนการประกอบ 3 จี ต้องลงทุน วางโครงข่าย แล้วประเมินว่าจะมีรายได้เท่าไร เช่น 3 ราย หารกันได้ราว 1 แสนล้านบาท ก็อาจจะลงทุนเพียง 3 หมื่นล้านบาท ก็จะได้กำไร 7 หมื่นล้านมา ดังนั้นแน่นอนว่าท่านจะไม่ยื่นประมูลเกิน 7 หมื่นล้านบาทแน่นอน นี่คือเพดานที่ยื่นประมูลสูงสุด
คำถามแรกๆ ตลาดใหญ่แค่ไหน มีคนใช้กี่คน มันถูกกำหนดโดยตลาด ไม่ใช่ราคาประมูล ดังนั้นราคาประมูลจะตัดมาจากกำไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับต้นทุนเลย จึงไม่ส่งผลกระทบต่อค่าบริการของผู้บริโภค นี่คือสิ่งที่คนเข้าใจผิดเยอะ แล้ว กสทช.บางครั้งก็พูดว่า ถ้าประมูลแพงๆ จะกระทบกับค่าบริการ ทั้งที่จริงๆ งานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกัน
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของต่างประเทศเขียนไว้ชัดว่า ราคาประมูล ถูกหรือแพง ไม่กระทบต่อค่าบริการของผู้บริโภค เพราะมันตัดมาจากกำไร มีการดูงาน 17 ประเทศ บางประเทศประมูลถูก แพง บางที่ให้ฟรี ก็ไม่ส่งผลต่อค่าบริการ ดังนั้นประมูลก็ไม่มีผลต่อค่าบริการ ถ้าได้ไปถูก ก็เหมือนกับได้ลาภลอย เหมือนถูกล็อตเตอรี่ ถามว่าถ้าผู้ประกอบการถูกล็อตเตอรี่จะไปลดค่าบริการหรือไม่ ก็คงไม่ได้ แค่เพิ่มกำไร
การแข่งขัน มี 2 แบบ 1.การแข่งเข้าตลาด ได้แก่การประมูล ถ้าประมูลได้น้อย ประชาชนในฐานะผู้เสียภาษี ก็จะเสียหาย เพราะรัฐเอาของที่มีราคามากไปขายถูกๆ กระทั่งส่งผลกระทบอื่นๆ เช่นตัดเงินประกันสังคมบริการสาธารณสุขต่างๆ และ 2.การแข่งขันในตลาด ได้แก่ค่าบริการ คุณภาพในการให้บริการ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนไม่มีความเกี่ยวข้องกันประเทศ ไทยมีปัญหาเรื่องการแข่งขัน เพราะไม่ว่าจะ analog 2 จี 3 จี ก็มีแค่ 3 เจ้า กลายเป็นตลาดที่ปิด กึ่งผูกขาด
ประสบการณ์ในต่างประเทศ เช่น ในสวิตเซอร์แลนด์ ใช้การประมูลคล้ายๆ ที่ กสทช.ทำ มีใบอนุญาต 4 ใบ มีผู้เข้าประมูล 10 ราย สุดท้ายเหลือเพียง 4 ราย จึงได้ราคาประมูลที่ใกล้เคียงกับราคาตั้งต้น นี่คือบทเรียนในอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ประเทศไทยไม่ได้หยิบมาใช้
การประมูลที่ดีที่สุดคือต้องดึงรายใหม่เข้าตลาดให้ได้ และหัวใจที่สุดคือการป้องกันการฮั้ว การประมูลคือการแข่งขัน สิ่งที่ทำให้การประมูลล้มเหลวที่สุด คือไม่มีการแข่งขัน
สภาพตลาดโทรคมนาคมไทย มีลักษณะพิเศษ คือใบอนุญาตออกสำหรับทั่วประเทศ ไม่มีได้แบ่งเป็นโซน ตลาดมีผู้เล่นน้อยราย แค่ 3 ราย เพราะมีอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ กฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม จำกัดไว้ไม่ให้ต่างชาติถือเกิน 49% ทั้งที่จริงๆ กิจการอย่าง 3 จีใช้เงินลงทุนเยอะ หาคนไทยที่มีเงินเป็นหมื่นล้านบาทได้ไม่กี่คน ทั้งที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเปิดเสรีมานานแล้ว เพื่อให้ตลาดโทรคมนาคมมีการแข่งขัน เนื่องจากธุรกิจอื่นๆ จะนำไปใช้ต่อ นอกจากนี้ กสทช.ยังไปออกประกาศอีกฉบับ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่เข้ามาเลย ที่สำคัญ ยังไม่มีการโรดโชว์ให้ ต่างประเทศเข้ามาเลย
นอกจากนี้ ค่า IC เชื่อมโยงโครงข่าย นาทีละ 1 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก ดังนั้นผู้ประกอบการรายใหม่ เมื่อมีลูกค้าก็จะต้องโทรหาผู้ประกอบการรายเดิม จะต้องเสียนาทีละ 1 บาท ทำให้แข่งขันกับเจ้าเดิมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเพียง 3 ราย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกฎหมาย และ กสทช.ไปสร้างอุปสรรคและไม่แก้ปัญหาให้รายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ ผลประโยชน์จึงตกกับทั้ง 3 รายเป็นหลัก
ลักษณะเฉพาะของตลาดโทรคมนาคมไทย คือประเทศ ไทยมีระบบสัมปทาน เช่น AIS จ่ายให้ TOT เฉลี่ย 21% ส่วน DTAC จ่ายให้ CAT 23 % ปีที่แล้วมีการจ่ายค่าสัมปทาน 4.8 หมื่นล้านบาท ถ้ามีใบอนุญาต จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทาน
คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ยังกำหนดวิธีการประมูลที่เรียกว่า SAA แต่ละรอบต้องเคาะสูงขึ้น โดยทั่วไป กทค.มีคลื่น 45 MHz เหมือนมีที่ดิน 45 ไร่ มาซอยๆ แปลงละ 5 ไร่ 9 แปลง กำหนดให้ผู้เข้าประมูลถือได้ไม่เกิน 3 ชิ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยให้ถูกได้ถึง 4 ชิ้น แต่ตอนหลังมาเปลี่ยน
สมัยมีคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เคยมีแนวคิด N-1 ถ้ามีคน 3 คนต้องดึงออก 1 ใบ เพื่อให้มีการชิงกัน ตัวสุดท้ายค่อยปล่อยมาทีหลัง เช่น 3 เดือนต่อมาค่อยปล่อย วิธีแบบนี้จะทำให้เกิดการแข่งขัน
ตอนแรก กทค.ให้ถือได้ไม่เกิน 20 Mhz แต่ก่อนประมูล ก็มาเปลี่ยนเป็นไม่เกิน 15 MHz นี่คือประเด็นที่มีการเปลี่ยนกฎในการประมูล
ผลการประมูลจึงมีปัญหามาก เพราะ กทค.ตั้งราคาตั้งต้นไว้ต่ำ แต่ละแปลงคิดแค่ 4.5 พันล้านบาท แต่ละคนได้ไม่เกิน 3 แปลง ทั้งที่จริงๆ มีการตีราคาไว้ถึงแปลงละ 6.4 พันล้านบาท ถ้าประมูลที่ราคาตั้งต้น หารด้วยอายุใบอนุญาต จะเสียแค่ปีละ 900 ล้านบาทเอง ทั้งที่ปีที่แล้ว AIS กับ DTAC มีรายได้หักค่าสัมปทานหลายหมื่นล้านบาท
ที่พูดว่าเกิดความเสียหาย คือที่ปรึกษาของ กทค. คือทีมวิจัยจุฬาฯไปศึกษาว่า คลื่นความถี่มีมูลค่าเท่าไร โดยดูการประมูลของ 17 ประเทศที่มีปัจจัยต่างๆ ต่างกัน แล้วนำวิธีการทางเศรษฐมิติ ควบคุมปัจจัยให้เหมือนกัน ได้ราคาประเมินมา 6.4 พันล้านบาท
ท้ายสุด การประมูลของ กสทช.ขึ้นมาแค่ 2% กว่าๆ ทำให้เสียหาย 1.6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ หลังจากการประมูลจบลงแล้วมีเสียงวิจารณ์ ทาง กทค.ก็ออกมาชี้แจงว่า
1.เป้าหมาย กสทช.ไม่มีหน้าที่หารายได้เข้ารัฐ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูก เพราะการประมูลไม่ได้มีหน้าที่หารายได้ให้รัฐ แต่การประมูลจะเป็นตัววัดว่ามีการแข่งขันหรือไม่ ซึ่งรายได้เป็นตัวชี้วัดที่ดี ถ้าวัดเช่นนี้ก็ไม่มีการแข่งขันอย่างที่ควรเป็น เพราะ 6 ใน 9 slot ที่ไม่มีการเคาะราคาเลย ส่วน AIS ก็เคาะราคาแข่งกับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก และแม้ กสทช.ไม่มีหน้าที่หารายได้ให้รัฐ แต่ก็ไม่มีสิทธิที่จะสร้างความเสียหายให้รัฐ ด้วยการนำคลื่น 6.4 พันล้านบาทไปขายที่ 4.5 พันล้านบาท
2.อ้างว่าคลื่นที่นำมาขาย รัฐไม่มีต้นทุน ซึ่งไม่จริง เพราะทางวิชาการมีต้นทุนที่เรียกว่าค่าเสียโอกาส เพราะหากให้คลื่นนี้ไปให้เอกชนใช้ 15 ปี โดยไม่มีผู้อื่นนำไปใช้ได้ นี่คือค่าเสียโอกาส เพราะเป็นไปได้ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า อาจจะอยากมีคนอยากได้ในราคาสูงๆ เหมือนคนที่เป็นโสด ไม่ใช่หมายถึงจะแต่งงานกับใครก็ได้ เพราะต่อไปจะอาจจะเจอผู้หญิงที่สวยขึ้น สาวขึ้น อาจจะอยากแต่งงานก็ได้ นี่คือประเด็นที่ กสทช.พยายามเบี่ยงเบน อ้างว่าคลื่นไม่มีต้นทุน ปล่อยไปก็ไม่ขาดทุน ทั้งที่จริงๆ มีค่าเสียโอกาส
3.มีคำพูดที่ฟังดูดี การจัดสรรคลื่นต้องคำนึงถึงประโยชน์ ของทุกฝ่าย คือผู้บริโภค รัฐ และผู้ประกอบการ โดยหลักการเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ประเด็นคือผู้บริโภคไม่เกี่ยวข้องกับการประมูล เพราะไม่ว่าถูกหรือแพง ก็ไม่กระทบกับค่าบริการ จึงเหลือเพียง 2 ฝ่าย รัฐกับผู้ประกอบการ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสมดุล คำตอบคือให้ประมูลมีการแข่งขัน แล้วจะมีตัวเลขที่สมดุลออกมาเอง เพราะผู้ประกอบการจะไม่เสนอราคาจนตัวเองขาดทุนแน่นอน การที่เอกชนได้ใบอนุญาตในราคาปีละแค่ 900 ล้านบาท ทั้งที่ได้กำไรปีละ 2 หมื่นล้านบาท นี่หรือความสมดุล
4.ราคาประมูลที่สูงจะมีผลต่อค่าบริการผู้บริโภค ขอย้ำอีกทีว่าไม่มีผล
5.ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ 15-15-15 เท่ากัน เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะมันมีทางเลือก เราสามารถกำหนดให้คนที่ได้มากที่สุดได้ 20 ได้น้อยที่สุดได้แค่ 10 ดังนั้นทางเลือกที่เป็นไปได้ คือ 20-15-10 เพราะถ้าเลือกให้มีแค่ 15 แบบเดียว การแข่งขันก็หายไปหมด
6.ราคาประมูล 3 จีของไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล อ้างว่าของไทยสูงกว่าเกาหลี เบลเยี่ยม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทั้งที่จริงๆ มีของสูง ของต่ำ ของเราค่อนข้างต่ำ ถ้าจะนำมาเปรียบเทียบต้องนำมาทั้งหมด เหมือนที่ทีมวิจัยจุฬาฯนำมาทั้ง 17 ประเทศ ไม่ใช่เลือกส่วนที่แพ้เราอย่างเดียวมาโชว์
7.ถ้ากำหนดราคาประมูลตั้งต้นสูงเกินไป จะกีดกันผู้ประกอบการรายย่อย การประกอบกิจการโทรคมนาคม ต้นทุนที่ใหญ่ที่สุด คือการทำโครงข่าย เหมือนที่ผู้บริหารบางค่ายบอกว่า เตรียมเงินประมูล 2 หมื่นล้านบาท ทำโครงข่าย 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงข่าย ไม่มีรายย่อยที่ไหนมาทำโครงข่ายอยู่แล้ว มีแต่ไปซื้อโครงข่ายแล้วมาขายต่อ ที่เรียกกันว่า MVNO เหมือนที่ LOXLEY เช่าโครงข่าย TOT แล้วนำมาขายต่อ สิ่งที่ กสทช.ควรให้ความสนใจ คือให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าตลาดได้ เพราะหากให้ยักษ์ใหญ่หน้าเดิมๆ อยู่เหมือนเดิม ก็กินโต๊ะคนไทยได้ต่อไป แต่ กสทช.กลับไปออกกฎที่กีดกันรายใหม่
8.ถ้ากำหนดราคาตั้งต้น จะทำให้ไม่สามารถจัดสรรคลื่นความถี่ได้ คือกลัวขายไม่ออก เหมือนมีลูกสาวสวย แต่กลัวขึ้นคาน ใครมาขอก็รีบยกให้ได้ไป ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะถ้าดูประกาศ กสทช.ก็เขียนไว้เองว่า ถ้ารอบนี้ขายไม่หมด ค่อยนำมาขายรอบหน้าได้
โดยสรุป การประมูลไม่สร้างภาระต่อผู้บริโภค ถ้าได้เงินเยอะจะเกิดประโยชน์ต่อผู้เสียภาษี การประมูล 3 จีในไทยไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตลาดเลย เคยมี 3 ราย ก็มีอยู่ 3 ราย ควรตั้งเป้าให้มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาด การตั้งราคาตั้งต้นเป็นการคุ้มครองผู้เสียภาษี ถ้ากำหนดไว้ต่ำ ก็จะเกิดความเสียหาย มีวิธีลดต้นทุน เช่นให้เสาต้นเดียว ผู้ประกอบหารลายเจ้านำอุปกรณ์มาติดได้
ถ้าไม่แก้ปัญหานี้ ต่อไปไม่ว่าจะ 4 จี 5 จี ต่อไปก็จะมีแค่ 3 เจ้า ต้องยกเลิกกฎหมายกีดกันคนต่างด้าว แล้วแก้ไขโครงสร้างพื้นฐาน
@ ที่บอกว่า กสทช. กับรัฐบาลไม่มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะขาดทุนหรือได้กำไร แต่ทำไมมีคนไปยื่นศาลจะเอาผิดกับรัฐบาล
ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองระดับชาติเลย ไม่ว่าจะรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่เป็นผลประโยชน์ของประเทศร่วมกัน คือเอาคลื่นความถี่ซึ่งเป็นสมบัติของชาติไปขายต้นกว่าราคาต้นทุน
@ กสทช.ไม่มีหน้าที่หารายได้ให้รัฐ
กสทช.คนที่พูดเช่นนี้คือไปตีกฎหมายเป๊ะๆ คือไม่มีหน้าที่หารายได้ให้รัฐ แต่หน้าที่ของหน่วยงานของรัฐทั้งหลาย คือต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐอยู่แล้ว
@ ค่า IC จริงๆ ควรมีต้นทุนเท่าไร
ผมคำนวณที่ 27 สตางค์ แต่ กสทช.ปล่อยให้เป็น 1 บาทต่อไป ดังนั้น ค่าบริการจึงไม่ต่ำกว่า 1 บาท ที่ กสทช.บอกว่าจะลดค่าบริการ ต้องในสิ่งที่ไม่ต้องทำนี่แหล่ะ คือลดค่า IC
@ ทำไมราคาประมูลสูงต่ำไม่เกี่ยวข้องกับค่าบริการ
ผู้ประกอบการจะดูตลาด และราคาที่คนยอมจ่าย ต่อให้ให้ใบอนุญาตฟรี ก็ไม่จำเป็นที่ค่าบริการจะลดลง ผู้ประกอบการไม่มีใจดี ขอให้ทำราคาได้สูงสุด ดังนั้นการประมูลได้ถูกหรือแพง จึงกระทบเพียงกำไร ไม่เกี่ยวข้องกับต้นทุน
ต่อมาเวลา 11.15 น. กรรมการ กทค.ทั้ง 5 คน นำโดย พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช.และประธาน กทค.ก็เดินเข้ามาภายในห้องประชุม
-พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธาน กทค.
อำนาจ กสทช.ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 คือจะต้องเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานในตลาดโทรคมนาคามไปสู่ใบอนุญาตที่มีการแข่งขันซึ่งเป็นหลักสากล เพราะโครงสร้างโทรคมนาคมมีผลต่อการพัฒนาประเทศ
ประเด็นสำคัญของ พ.ร.บ.คือสร้างสมดุลระหว่างรายได้เข้ารัฐ ผลประโยชน์ของผู้บริโภค และให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ โดยมีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
ทั้งนี้ กสทช.ได้ศึกษาถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ก่อนดำเนินการใดๆ โดยศึกษาการประมูล 3 จีของปี 2553 รวมถึงหลายๆ ประเทศ
ตลาดโทรคมนาคมไทยมีผู้ประกอบการ 20 ราย แม้ศักยภาพจะแตกต่างกัน ทั้งร่วมทุนต่าง ที่กฎหมายร่วมทุนต่างประเทศให้ถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% กสทช.ไม่สามารถคิดได้เพียงว่ามีกี่ราย 3, 4 หรือ 5 ที่มีศักยภาพ เราจึงดูภาพรวมทั้งหมด โดยไม่มีอคติใดๆ แม้ปัจจุบันการประกอบกิจการจะมีการผูกขาด แต่เราจะส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ตลาดได้ในอนาคต
ตลาดของโทรคมนาคมยังมีการผูกขาดอยู่เนื่องจากสัมปทาน แต่ กสทช.จะใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่เปิดตลาดให้ทุกฝ่ายเข้าสู่การประมูล 3 จี โดยพบข้อมูลทางวิศวกรรมว่า 3 จีจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ 5 MHz จึงมีการแบ่งออกเป็น 9 slot จากนั้นก็ไปดูวิธีการประมูลในต่างประเทศร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งจากอัยการสูงสุด กฤษฎีกา และทีดีอาร์ไอ เห็นว่าวิธีการเดิมคือ N-1 ไม่มีประสิทธิภาพ จึงแบ่งเป็น 9 slot ๆ ละ 5 MHz เพื่อเอื้อให้รายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ ความหมายคือมีโอกาสที่ 9 บริษัทเข้ามาร่วมประมูล แม้จะมีโอกาสไม่มากก็ตาม
นี่คือเหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดในการประมูล และผูกขาดในตลาด
การประมูลเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่แก้ปัญหาการผูกขาดในตลาด ครั้งแรกอนุกรรมการ กสทช.เห็นว่าเพื่อให้ได้เงินเข้ารัฐมาก จึงกำหนดให้สูงสุดไม่เกิน 20 MHz แต่หลังจากรับฟังความคิดเห็น เห็นว่าการที่ให้สูงสุด 20 MHz อาจทำให้เกิดการผูกขาด คือมีคนได้ 20 MHz ถึง 2 ราย อนุกรรมการ กสทช.จึงเสนอให้ กทค.เปลี่ยนจากสูงสุด 20 เป็น 15 MHz เพื่อไม่ให้มีการถือครองคลื่นความถี่มากเกินไป สอดคล้องกับตลาดสากลที่แค่ 15 MHz ก็ให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพได้ จึงกำหนดเพดานเพียง 15 MHz
จากนั้นจึงมีการว่าจ้างทีมวิจัยหาราคาตั้งต้น ก่อนได้ข้อสรุปที่ 4.5 พันล้านบาทต่อ 5 MHz คิดเป็น 70% จาก 6.4 พันล้านบาท
ความคิดเห็นที่แตกต่างและไม่เห็นด้วย ทาง กสทช.ได้มีกระบวนการรับฟังความเห็นสาธารณะ ที่มีผู้ไม่เห็นด้วย 2 ลักษณะ คือสูงเกินไปกับต่ำเกินไป กสทช.จึงพยายามตัดสินให้มีความสมดุล โดยคำนึงถึงรัฐ ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ทั้งนี้หากดูตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรฯ วัตถุประสงค์หลักคือจัดสรรคลื่นความถี่ ส่วนรายได้เข้ารัฐ เป็นแค่วัตถุประสงค์รอง
เราทราบดีว่าเหตุการณ์วันนี้ต้องเกิดขึ้น ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเสมอจากการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ยืนยันว่าพวกเราทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยืนยันว่าตนทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่เคยใช้
จากการประมูล 3 จีครั้งนี้ ถ้า กมธ.เห็นว่ามีความผิดปกติใดๆ ก็ตาม พวกตนน้อมรับการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และยืนดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเชื่อมาเสมอว่าไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เราก็ต้องเจอวันนี้
-นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช.และกรรมการ กทค.
วันนี้ผมมีความสุขที่ได้มาเสนอข้อมูลอีกมุมในฐานะผู้ปฎิบัติ
ที่บอกว่า กสทช.ทำให้ประเทศชาติเสียหาย 1.7 หมื่นล้านบาท นี่คือปัญหา เพราะเราเริ่มจากฐานคิดคนละชุดกัน เพราะการอ้างงานวิจัยจุฬาฯว่า มูลค่าคลื่นคือ 6.4 พันล้านบาทต่อ 5 MHz แต่ท้ายรายงานเดียวกัน ก็เขียนไว้ว่าราคาตั้งต้นไม่ควรต่ำกว่า 67% และให้คำนึงถึงสมดุลระหว่างรัฐ ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ที่สำคัญเวลาพิจารณาก็มี ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ จากทีดีอาร์ไอ และนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ร่วมด้วย
ถ้าเพิ่มราคาตั้งต้นมากกว่า 4.5 พันล้านบาทเป็น 6.4 พันล้านบาท สภาพการแข่งขันจะลดลงทันที ถ้าเทียบกับที่ กทช.เคยพยายามจัดประมูล 3 จี เมื่อปี 2553 เวลาที่ผ่านมา มูลค่า 3 จีราคาลดลง เพราะมี 4 จี แล้ว โดย กทช.กำหนดราคาตั้งต้นเท่ามูลค่าคลื่น 4.3 พันล้านบาทต่อ 5 MHz ถ้าตั้งไว้ที่ 6.4 พันล้านบาท อาจจะมีผู้เข้าประมูลเพียง 1-2 รายเท่านั้น ถ้าเทียบกับเยอรมันก็ตั้งราคาตั้งต้น 1 พันล้านบาทต่อ 5 MHz
ยืนยันว่า กสทช.ไม่ได้ลดราคาของทีมวิจัยจุฬาฯ ทั้งที่จริงๆ เพิ่มจากที่ กทช.เคยตั้งไว้ด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงทำเงินให้รัฐเพิ่มจากเดิมกว่า 2 พันล้านบาท
ที่ นพ.ประวิทย์ (ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช.และกรรมการ กทค) อ้างว่า ควรคิดอยู่ที่ 82% โดยอ้างจากงานวิจัยของุฬาฯ ในประเทศที่มีผู้เข้าประมูล 3 ราย ถามว่าผมจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีผู้ร่วมประมูลแค่ 3 ราย ส่วนที่อ้างเรื่องป.แพ่งและพาณิชย์เรื่องการขาดทอดตลาด ขอยืนยันว่าเป็นคนละเรื่อง ที่สำคัญการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก
ที่บอกว่าถ้าหาเงินได้เยอะๆ เงินจะเข้ารัฐ รัฐในที่นี่คือรัฐบาล ผมถามว่าเงินเข้ารัฐบาล แล้วประชาชนจะได้ประโยชน์จริงๆหรือ?
หากอ่านในรัฐธรรมนูญหรือ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรฯ ไม่ได้กำหนดไว้ตรงไหนเลยว่า จะต้องนำรายได้เข้ารัฐมากที่สุด แต่เขียนไว้ว่าต้องจัดสรรคลื่นความถี่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ถ้ารัฐบาลเก็บค่าก่อสร้างทางด่วนแพงๆ แล้วเขาจะเก็บค่าบริการกับปะชาชนถูกไหม การทำธุรกิจก็คือการทำธุรกิจ ถ้ามีต้นทุนสูง มีคนบอกว่าการเก็บค่าประมูลสูงๆ ประชาชนไม่ได้เสียประโยชน์ ผมเองศึกษามาตลอด บทความที่เขียนแล้วอ้างงานวิขาการ ผมก็ยังไปตามอ่านงานวิขาการดังกล่าว ก็ไม่พบว่ามีการเขียนว่าประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการประมูลสูงๆ
ทั้งนี้ ผมเห็นความเสี่ยงของฝายที่คัดค้าน ทั้งการเน้นประโยชน์ของรัฐบาลเป็นสำคัญ การอ้างเหตุผลทางวิชาการ แต่ไม่ตรง การอ้างงานวิจัยที่จุฬาฯไม่ได้เสนอมา
ถ้าไปดูการรับฟังความเห็น พวกที่บอกว่า 4.5 พันล้านบาทสูงไปมีมากกว่าฝ่ายที่บอกว่าถูกไป ผมเองก็เห็นว่าสูงไป แต่ไม่เป็นไร เพื่อชาติครับ
มีคนนำไปสับสนระหว่างรูปแบบจัดประมูลระหว่าง กทช.กับ กสทช. จึงมีการยกตัวอย่างเรื่องแบ่งเค้ก 3 ชิ้น หรือเก้าอี้ดนตรี 3 ตัว ซึ่งตรงนี้คลาดเคลื่อน ถ้าเป็นอย่างครั้งที่แล้ว ใช่ เพราะมีการแบ่งใบละ 15MHz ผมมีความรู้น้อยจึงไปหาความรู้จาก ITU (สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ) เขาบอกเลยว่า วิธีการ N-1 ใช้ไม่ได้ เคยเกิดปัญหาที่ประเทศอิตาลี ดังนั้นหากประเทศไทยนำมาใช้อีก จะเกิดความเสียหาย เป้าหมายของ N-1 คือการเพิ่มการแข่งขันให้มากที่สุด แต่วิธีการอื่นก็ยังมีอยู่
ดังนั้นเก้าอี้ของเรา จึงไม่ใช่ 3 ตัว แต่เป็น 9 ตัว แทนที่เราจะคิดเป็นเค้กก้อนใหญ่ๆ ก็แบ่งเป็นเค้กชิ้นเล็กๆ
ที่บอกว่ามีผู้เล่นแค่ 3 ราย เราไม่สามารถไปนึกได้ว่ามีอยู่แค่ 3 ราย ทั้งที่จริงๆ มีผู้ประกอบการ 20 ราย ถ้าเราดูแค่ผู้ประกอบการายใหญ่ เราถูกฟ้องแน่นอน เพราะการแข่งขันจะไม่เกิดขึ้น
ยืนยันว่าการประมูล 3 จีมีการแข่งขัน นั่นคือการแข่งขันเลือกย่านความถี่ ต่างกับเก้าอี้ดนตรี ที่หมุนไปที่ไหน ก็เลือกได้ แต่ 3 จีมันขยับไม่ได้ เหมือนกับทาวน์เฮ้าส์ แต่ละคนอยากเลือกทาวน์เฮ้าส์ไม่เหมือนกัน นี่คือความพอใจของผู้ประกอบการ บางที กสทช.บอกว่าซ้ายมือดีกว่า แต่ผู้ประกอบการอาจจะบอกว่าขวามือดีกว่า
ที่สำคัญ กติกาที่ กสทช.ร่างมาสอดคล้องกับสากล แล้วใจของตนไม่เคยคิดหาประโยชน์ แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติ ผมมีเจตนาอันดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือไม่ถูกใจ
อยากให้มานั่งคุยกัน แล้วถ้ายังเห็นว่าผมผิด ผมยินดีก้มหัวรับผิดให้เอาไปเชือดคอได้เลย
- นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช.และกรรมการ กทค.
ถ้าเราตั้ง 82% มีผู้เข้าร่วมมาก เท่าไรเขาก็สู้
แต่ถ้าตั้งแค่ 67% หรือที่ปรับเป็น 70% แล้วมีผู้ร่วมประมูลน้อยราย มันก็จะจบแค่นั้น
ยืนยันว่าผมไม่เคยพูดว่าให้สูงๆ อย่างเลื่อนลอย หรือให้เท่ากับประเมิน
ผมเคยพูดว่าตั้งไว้แต่ 70% ไม่มีทางถึง 100% ซึ่งท้ายสุดผลการประมูลก็ชัดเจน
ทั้งนี้ผมยังพบว่าตัวเลขในการรายงานของทีมวิจัยของจุฬาฯ เขียนตัวเลขไม่ตรงกับฉบับสมบูรณ์จาก 6.7 พันล้านบาทเหลือ 6.4 พันล้านบาท อย่างไรก้ตาม ในวันที่ใช้ดุลยพินิจทางปกครอง 12 ส.ค.2555 คือ 6.7 พันล้านบาท
-ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ
ที่บอกว่าเงินเข้ากระเป๋ารัฐบาล ไม่รู้ประชาชนจะได้ประโยชน์หรือเปล่า ท่านพูดเสมือนว่าถ้าเงินเข้ากระเป่าเอกชน แล้วจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน
ประเด็นสำคัญที่ผมอยากถามเลย คือ กสทช.สามารถจัดประมูลโดยแบ่งเป็น slot ย่อยแล้วยังมีการแข่งขันได้ หากกำหนดให้ผู้ทีได้คลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 2-4 slot วิธีนี้ทำให้มีการแข่งขันหรือการจัดสรรคลื่นความถี่ได้ เหตุใดไม่เคยเห็น กสทช.อธิบายเรื่องนี้เลย
งานวิจัยของจุฬาฯ รวมถึงงานวิจัยทุกชิ้น เขียนไว้ว่าราคาประมูล ไม่มีผลต่อค่าบริการ
-พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช.และประเทศ กทค.
ประเด็นที่เถียงกันทั้งราคา หรือมา 3 ได้ 3 ทั้งที่จริงๆ ถ้ามา 4 อาจจะได้ทุกราย จริงๆ คำว่า “ฮั้ว” หมายถึงอะไร
ราคาประมูลมีผลต่อค่าบริการหรือไม่ มีการถกเถียงในวงการ ในโลกแห่งความเป็นจริง เกิดขึ้นมาหลายประเทศแล้ว
ในการประชุม ITU ครั้งหนึ่งมีการโต้แย้งว่า ราคาประมูลจะมีผลต่อค่าบริการหรือไม่ โดยฝ่ายหนึ่งระบุว่าผู้ชนะประมูลจะผลักภาระไปยังค่าบริการ เนื่องจากราคาประมูลจะส่งผลต่อการลงทุนในการสร้างโครงข่าย นี่คือความเป็นจริง ที่เป็นข้อถกเถียงกันอยู่
-นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช.และกรรมการ กทค.
กลัวจะเรียกแขกว่า กสทช.ไม่ให้ความสำคัญกับรบ. แต่ไม่อยากให้มุ่งหาเงินเข้ากระเป่ารบ. สอดคล้องกับงานวิจัยของจุฬาฯ ที่ให้คำนึงถึง 3 ฝ่าย
ถ้ากำหนด 2-4 slot อาจจะได้แค่ 2 รายๆ ละ 20 ไม่ใช่ 3 ราย อย่างในปัจจุบัน
-นายจิตรนรา นวรัตน์ ตัวแทนอัยการสูงสุด ในฐานะอนุกรรมการด้านกฎหมายของ กทค.
ถึง ดร..สมเกียรติ ที่บอกตั้งเพดานไว้ 20 MHz ในทางทฤษฎีทำได้ แต่ในทางปฏิบัติ ขั้นต่ำ 10 MHz อาจจะทำไม่ได้
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้วแบ่งคนทำผิด 3 กลุ่ม 1.ผู้เข้าร่วมประมูล ถ้าผิดต้องถูกลงโทษและเพิกถอนใบอนุญาต 2.กสทช. ถ้าทำผิดมีบทลงโทษ ไล่ออกและอาญา และ 3.ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย
เวลานี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าผู้เข้าร่วมประมูลมีการฮั้วกัน ส่วน กสทช.ทั้ง 11 คน ถ้าจะทำผิดกฎหมายแบ่งไว้ 3 ช่วงเวลา (1) ก่อนการประมูล เอื้อหรือกีดกัน เช่นที่ กสทช.พยายามชี้แจงให้รายเล็กเข้ามาได้ ส่วนถามว่าเอื้อรายใหญ่ไหม ปกติรายใหญ่หมายถึงผู้ที่ซื้อของมาก ตามปกติซื้อของมากจะราคาถูก แต่การประมูลรายใหญ่ที่ซื้อของมากมีภาระมากกว่ารายอื่น เช่น roll out 50% ใน 2 ปี 80% ใน 3 ปี ส่วนรายเล็กน้อยกว่า จึงยืนยันว่าออกแบบไม่ได้กีดกัน และไม่ได้เอื้อ
(2) ระหว่างการประมูล มีตัวแทนจาก ITU ผู้ตรวจการแผ่นดิน สตง.ก็เห็นทั้งหมดว่าไม่มีการช่วยเหลือหรือกีดกันระหว่างการประมูล เนื่องจากรูปแบบการประมูลป้องกันการติดต่อโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นทั้งก่อนและระหว่าง จึงไม่มีสัญญาณใดระบุว่ามีการกีดกันหรือขัดขวาง
-ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ
อยากเห็นว่ามีเอกสารวิชาการไหนที่ระบุว่าราคาประมูลมีผลต่อค่าบริการ
กสทช.ยังมีทางเลือดจัดการประมูลให้มีการแข่งขันได้อยู่ กับไปเลือกวิธีการแข่งขันที่มีการจำกัดมากๆ ที่สำคัญยังไปกำหนดราคาตั้งต้นที่ต่ำเกินไปแล้วทำให้เกิดความเสียหาย
-นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช.และกรรมการ กทค.
ค่า IC เราให้ผู้ประกอบการไปตกลงกันเอง อาจจะคิด 1 บาท เราดูแค่ข้อพิพาท ถ้ามีเรากำหนดไว้ 50 สตางค์
ขอย้ำอีกครั้งว่าตัวเลข 82% ไม่เลื่อนลอยหรือพูดมาทีหลัง ถอดเทปประชุม กสทช.วันที่ 22 ส.ค.2555 ก็มีตัวเลข 82% ไม่ใช่ลอยมาตอนหลัง
ที่ผมไม่รับรองผลประมูล เพราะไม่มีการแข่งขัน ที่สำคัญมียุทธศาสตร์การเคาะราคา เห็นได้จากบางรายเสนอเพียง 2 slot ตั้งใจให้มี slot ว่าง เพื่อที่มีใครเคาะราคา จะได้เอา slot ที่ว่าง
-นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช.และกรรมการ กทค.
สิ่งที่โต้แย้งกันไป เถียงกันไปไม่มีวันจบ เรื่องนี้ต้องดูว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ที่สำคัญ เสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยจะว่าอย่างไร เมื่อมีมติแล้วก็ต้องจบ
หลังจากประชุมมาราธอนกว่า 3 ชั่วโมง นายศุภชัยก็มีคำสั่งปิดประชุม กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ
