อาการผวาในใจ “คนเสื้อเขียว” เมื่อคดีเสื้อแดงเริ่มรุกกระชับพื้นที่
นายทหารระดับกลาง วิเคราะห์เกมของฝ่ายการเมือง ในการใช้ประโยชน์จาก "คดีสลาย นปช." ปี 2553 ที่ท้ายสุด ทหารอาจจะต้อง “ตายเดี่ยว” !

ต่อให้ภาพความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล และกองทัพจะดีแค่ไหน ก็ไม่มีใคร "ฟันธง" ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเช่นนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะปัจจัยและเงื่อนไขหนึ่งในการดำรงอยู่ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ก็คือคะแนนนิยมของ "คนเสื้อแดง" ซึ่งยังมีประเด็นค้างเก่าที่มวลชนกลุ่มนี้ต้องการรัฐบาลหาผู้กระทำผิดจากการสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 มาลงโทษให้ได้
ในแง่การตอบสนองมวลชนของพรรค รัฐบาลเองปฏิเสธได้ไม่เต็มปากที่จะปิดฉากเรื่องนี้ เพื่อ "ซูเอี๋ย" กับกองทัพ และ อำมาตย์
ในแง่ของ "เกม" พท.ยิ่งมองเห็นประเด็นดังกล่าวเป็น "เครื่องมือ" ชิ้นสำคัญในการบริหารอำนาจ และกุมสภาพกองทัพให้อยู่ในกรอบ
ไม่ว่าจะความกระตือรือร้นของ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)” ที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ที่ตั้งโจทย์แบบหักมุม 360 องศา ต่างจากครั้งที่นั่งทำงานในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ปิดปากเรื่องนี้มานาน ยังเกิดอาการหลุด และ ออกมาตำหนิเจ้าหน้าที่ระดับสูงของดีเอสไอมาแล้ว
หรือแม้กระทั่ง ในช่วงที่ “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)” ได้สรุปรายงาน และมีประเด็นเรื่อง "ชายชุดดำ" ออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ ตอกกลับคำสัมภาษณ์ของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่ยืนยันมาตลอดว่า "ไม่มีชายชุดดำ" เป็นจังหวะเดียวกับที่ศาลอาญาได้พิจารณาคดีการตายของ "นายพัน คำกอง" แท๊กซี่เสื้อแดงที่เสียชีวิตย่านราชปรารภ มาจากกระสุนของเจ้าหน้าที่
เสียงของแกนนำเสื้อแดงก็เริ่มดังระงมทั้งโต้รายงานของ คอป. และ นำประเด็นคำวินิจฉัยของศาลกรณีของแท๊กซี่เสื้อแดงคนดังกล่าวเป็น "คำตอบ" แบบสูตรสำเร็จว่า “ทหารฆ่าประชาชน” !
จน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตอบโต้อีกครั้งเพราะเห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับกระทบเรื่องขวัญกำลังใจ เพราะที่ผ่านมาเขาย้ำเสมอว่าการออกไปปฏิบัติหน้าที่ของทหารนั้นเป็นไปตามคำสั่งของรัฐบาล
"ทหารออกไปตอนนั้น ไม่คิดว่าจะมีคนใจร้ายแบบนี้ออกมา และเมื่อเขาใจร้ายใส่ เราก็ไม่ได้ตอบโต้ ผมถามลูกน้องว่าเห็นคนยิงหรือไม่ คนที่ท้องทะลุเป็นผู้บังคับกองพัน นายสิบ และยังมีพิการอีกหลายคน เขาบอกว่าเห็นแต่อยู่หลังประชาชน ซึ่งไม่ได้โทษว่าเป็นพวกใคร ผมก็ถามว่าทำไมไม่ยิงสู้ เขาบอกว่ายิงไม่ได้หรอก เพราะถ้ายิงก็โดนประชาชนที่ขวางหน้าอยู่ ผมก็ถามว่าผู้ที่อยู่ข้างหน้าเป็นใคร เขาก็บอกว่าประชาชนที่มาประท้วงเขาเป็นคนไทยซึ่งทำร้ายไม่ได้ ผมฟังแล้วก็สะอึกนั่นคือ ลูกน้องผมที่ยังเจ็บและตายก็ต้องว่ากันไป
“ลูกน้องบาดเจ็บล้มตายลูกเมียเดือดร้อน เขาร้องมาให้กองทัพบกปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรี ที่ไปหาว่าเขาไปยิงประชาชนซึ่งเขาไม่ได้ยิง เขาบอกกับผมอย่างนี้ ผมก็ไปสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และใช้กระบวนการยุติธรรมชี้แจง หากผิดก็ต้องรับผิดถ้าไม่ผิดจะให้เขารับผิดมันก็ไม่ใช่" บิ๊กตู่กล่าว
แต่สำหรับทหารระดับปฏิบัติที่ไล่ขึ้นไป ถึงผู้บังคับกองพัน ผู้การกรม ซึ่งประจำอยู่ในพื้นที่ตามแผนกระชับวงล้อม ตามที่ศอฉ.ได้วางแผนด้านยุทธวิธี เพื่อแก้เกมของกองกำลังในกลุ่มเสื้อแดง ที่มีอาวุธสงคราม โดยเฉพาะเอ็ม 79 และระเบิดมือ ที่สร้างความสูญเสียให้กับกำลังพลที่ประจำการอยู่ที่หน้าสตรีวิทยา และสี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 นั้นมีความกังวลอยู่ไม่น้อยต่อคำวินิจฉัยในประเด็นการไต่สวนการตายผิดธรรมชาติของ "นายพัน คำกอง"
...ที่ดูเหมือนว่า "ทหารกำลังเสียเปรียบทุกประตู" !
ทั้งนี้มีทหารไม่อยากเปิดปากในเรื่องนี้แต่ก็มีการถูกเรียกไปสอบปากคำหลายรอบ จากทุกหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งผู้บังคับหน่วย ไล่ไปถึงนายทหารระดับล่าง
“คือมันเป็นหนังคนละม้วน ตอนแรกดีเอสไอมาสอบเราก็สอบอีกแบบ พอเปลี่ยนรัฐบาลก็สอบเราอีกแบบ คนละเรื่องหน้ามือเป็นหลังมือ คือเอาคำถามที่ถามเราเบื้องต้นนั่นแหละ เอาไปจับให้เป็นประโยชน์
“ประเด็นอยู่ที่ว่าทำไมไม่สอบศพที่ 1 ต้องไปดูว่าคนตายคนที่ร้อย เกิดจากคนที่ 1 และคนที่ 2 ต่อยกันหรือเปล่า จริงๆ ต้องเริ่มที่คนที่ 1 ก่อนว่าเหตุเกิดจากอะไร เขาก็ไม่ทำ แต่ก็ไปหยิบคนที่ร้อยมากก่อน เอากรณีนายพัน คำกอง ที่ชัดเจนว่ามีคลิป มีภาพ ที่เขาดูหมดแล้ว ตรงนี้เอามาเป็นเรื่องไว้ก่อน ให้สังคม สื่อ ช่วยกันประโคมล่วงหน้า” นายทหารระดับ ผบ.หน่วยรายหนึ่งระบุ
เขาตั้งคำถามว่า ทำไมไม่นำสาเหตุการเสียชีวิตของ "พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม" อดีตรอง เสธ.พล.ร.2 รอ. มาตอบก่อนว่า สาเหตุการตายคืออะไร และใครเป็นผู้สังหาร แต่กลับนำไปไว้ลำดับท้ายสุด ไม่พูดถึง โดยอ้างว่าไม่มีคนร้อง ทั้งที่ตรงนั้นมันคือปฐมเหตุว่าใครตายที่ไหน ชายชุดดำอยู่ที่ไหน มีหรือไม่มี
“ตอนนี้แรกดีเอสไอบอกว่าไม่มีชายชุดดำ แต่พอตอนนี้บอกว่ามีก็ได้ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ คำให้การออกไปในรูปนั้น มันสกปรก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
“ผมดูแล้ว คำให้การมันบิดมาก มี พ.ต.ท.คนหนึ่งบอกว่า ถูกควบคุมตัวที่ค่ายนเรศวร บอกว่าถูกทำอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้มันพล็อตเรื่องแบบสกปรกสุดๆ มันยิ่งกว่าปั้นน้ำเป็นตัว“ นายทหารผู้นี้ระบายด้วยความอึดอัด
เขาระบุว่า กรณีของ นายพัน คำกอง มีที่มาที่ไป เขาโดนกระสุนเพราะอะไร เพราะวงล้อมพวกเสื้อแดงนกระชับเข้ามา ดันให้ช่องระหว่างยางรถยนต์ ลวดหนาม กับแถวทหารให้แคบลงเหลือสั้นกว่า 400 เมตร เพื่อให้ได้ระยะยิง M 79 เพื่อรอเวลาช่วงดึกที่จะถล่มทหาร ไม่เฉพาะตรงราชปรารภ ที่บ่อนไก่ก็มี ประตูน้ำก็มี
“พูดกันตรงๆ ว่าทหารสู้กับทหาร แต่ว่าฝ่ายไหนไม่รู้ เพราะฉะนั้นเขาต้องวัดระยะให้มันถึงแถวทหาร รถเข้ามาตอนกลางวัน ก่อนหน้านั้น ฝ่ายเสื้อแดงเขาออกข่าวว่าจะมาในรถตู้พยาบาลบ้าง จะเข้ามาในรถกู้ภัยบ้าง ตอนกลางคืนก็เอารถมาจอด” นายทหารผู้นี้ระบุ
เขายังบอกว่า ในจุดนี้ทหารมีการตอบโต้จริง เมื่อเกิดเหตุเสียชีวิตของนายพัน คำกองขึ้น ฝ่ายของเสื้อแดงที่ก็ยกจุดนี้อ้างว่าทหารยิง ซึ่งไม่ใช่ เกมในการสร้างกระแสคือหยิบเอาตรงที่ชัดที่สุดมาโจมตี เลยนำเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอันที่ 1
“ลองไล่สถานการณ์ดูว่าก่อนเกิดศพแรกคือ เสธ.เปา (พ.อ.ร่มเกล้า) เกิดอะไรมาก่อน ทำไมไม่สอบเรื่องวัดพระแก้ว ไทยคม เรื่องคลังน้ำมัน กระทรวงกลาโหม คดียิงทำเนียบรัฐบาล 2 ทุ่ม ไล่มาก่อนว่าเกิดอะไรบ้าง จากศพที่ 1 ไปถึงศพที่ 99 มันจะชัดในตัวของมันเองว่าเกิดอะไร เหตุผลอะไร แต่ทำไมไม่ทำอย่างนั้น” เขาตั้งคำถาม
พร้อมบอกว่า การเดินเกมในเรื่องนี้ มีคนกำหนดไว้หมด ไม่ว่าใครจะออกมาพูดหรือให้ความเห็น มาจาก "คนหัวโต๊ะ-วอร์รูม" เดียวกัน แล้วให้คนนั้นไปพูดอย่างนั้น คนนี้ไปพูดอย่างนี้
เราถามว่ากังวลหรือไม่ต่อการรุกทางคดี? เขาบอกว่า ไม่กังวล เพราะถึงที่สุดจะเกี่ยวข้อง คือ “คนสั่งการ” ที่เป็นฝ่ายการเมือง หรือคนสั่งการที่เป็นทหารระดับสูง ถ้าที่สุดกลับมาจบลงตรงที่ว่า ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเป็นทหาร เขาจะโยนให้ลูกน้องหรือเปล่า ก็ต้องรอดู
“อย่าง ผบ.สูงสุดในสถานการณ์ขณะนั้น บอกว่าไม่ได้สั่ง เรื่องไปทำฟรีโซน เขตกระสุนจริง ไม่ได้สั่ง ไปติดป้ายกันเอง พอออกมารูปนี้ ก็ตัวใครตัวมัน ถ้าเป็นอย่างนี้ ผบ.หน่วยอาจติดคุก
“สมมุติศาลบอกว่า นายพัน คำกอง ถูกเจ้าหน้าที่ยิง เขาจะนำสืบต่อไปว่าถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้นในฐานะ ผอ.ศอฉ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรีขณะนั้น) หรือเปล่า แต่ถ้านายอภิสิทธิ์บอกว่าไม่ได้สั่ง ตัวหนังสือชัดเจนแล้ว และโยนกลับมาให้ทหาร ผบ.สถานการณ์สูงสุดในขณะนั้นที่คุมทางทหาร บอกว่า ควบคุมไม่ได้เอง หรือบอกว่าไม่ได้สั่ง หรือสั่งแล้วมันฉุกเฉิน ก็ต้องไปสู้กัน แต่บอกว่าสั่งไปแล้ว พวกเด็กข้างล่างไปทำกันเอง อย่างนี้ต้องอีกที ก็อีกขยัก” นายทหารผู้นี้วิเคราะห์
เขายังเชื่อว่า ในที่สุด นายทหารระดับล่างคงรอด เพราะรัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะเล่นฝ่ายการเมือง ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เองก็เหมือนดิ้นหนีตาย ปชป.ดูแล้วเหมือนจะพยายามปกป้องทหารเหมือนกัน แต่ก็เป็นการปกป้องแบบมีนัยสำคัญ
“อย่างนายสุเทพบอกว่าเขาพร้อมอยู่ข้างทหาร มีอะไรก็สู้แทนทหาร อันนี้อาจจะเป็นหมากของเขาเหมือนกัน ซื้อใจก็อีกส่วนหนึ่ง กับอีกด้านหนึ่งก็จะโยนว่าเป็นความผิดของทหารเลยต้องช่วยเหลือเต็มที่เพราะทหารผิด อันนี้ก็เป็นการมองอีกมุม”
เมื่อถามว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ประกาศใช้ในเวลานั้นไม่คุ้มครองทหารหรือ? นายทหารผู้นี้บอกว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุ้มครองเฉพาะว่าปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐ แต่มันมีต่อท้ายว่ามันเกินกว่าเหตุหรือเปล่า เราต้องสู้ว่าเราสมควรแก่เหตุ เพราะมันเล่นอาวุธสงครามมาตั้งแต่ต้น ขว้างระเบิดจนเราตายกี่คน จากนั้นจึงมีมาตรการกำหนดขั้นตอนการใช้อาวุธ
“ตอนนี้เห็น ผบ.หน่วย ที่อยู่ในวันนั้น ก็เครียดกัน กังวลว่า กองทัพบกจะช่วยหรือเปล่า จะเอาอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ ศาลกำหนดกรอบเวลาไว้ 20 พ.ย.2555 ต้องจบ ศาลท่านเร่งรัดเฉพาะ 2 จุด ตอนนี้ฟ้องไว้แค่ 10 กว่าคดี น่าจะเสร็จสัก 2 คดี ศาลเขาคงวินิจวิเคราะห์ เมื่อมาไล่ถึง เสธ.เปา มาไล่ถึงใครต่อใคร จะค่อยๆ ชัดไปเรื่อยๆ เรารู้ว่าถ้าพูดถึง เสธ.เปา ปุ๊บ! ศาลก็จะวิเคราะห์ว่าชุดนี้ ใครเป็นคนยิง”
เขาบอกว่า กองทัพบกในขณะนี้ ก็มีคณะกรรมการหลายคณะช่วยทางคดี ต่อไปก็จะรุกมากขึ้น ทหารจะไปร้องบ้างว่าได้รับบาดเจ็บ สูญเสียหลายคน ส่วนที่เราต้องดูแลให้มากที่สุด คือทหารชั้นผู้น้อยที่เขาตามคำสั่งของเราที่อยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งคนกลุ่มนี้ตั้งแต่ ผบ.ทบ.ลงมาจะต้องปกป้องอย่างดีที่สุด
ในส่วนท่าทีของรัฐบาล นายทหารผู้นี้มองว่า ก็อาศัยไหว้วานเจ้าหน้าที่ทหารช่วยน้ำท่วม ช่วยงานของรัฐบาลไป และให้กลุ่มหนึ่งในฝ่ายตัวเองรุกไปในเรื่องนี้ ทหารจะได้ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น
เราถามว่ามีคนมองว่าคดีจบลงทหารถูกดำเนินคดีจะมีปฏิวัติรัฐประหาร? เขาบอกว่า “ไม่ เพราะเลยเวลาไปแล้ว”
ถามอีกว่าทหารต้องยอมรับสภาพไป? เขาตอบว่า “ก็ต้องดูว่าผู้บังคับบัญชา หากบอกว่าเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ก็ต้องว่ากันไป ดูสถานการณ์ต่อไป ทหารก็ต้องรับผิด”
“อย่างที่บอกว่าเจ้าหน้าที่มีสองส่วน คือผู้นำสูงสุดทางการเมือง หรือผู้นำสูงสุดทางการทหาร อยู่ที่ว่าหมากจะเล่นใคร หมากใครลึกกว่าใคร บางที ปชป.กับ พท.อาจจะจับมืออยู่ข้างหลังก็ได้ ตาหนึ่งเขาอาจขยิบเหมือนกันว่าเล่นทหาร“
ถามย้ำว่าหมายถึงว่าเมื่อจบลงด้วยการปรองดอง? เขาตอบว่า “การเมืองเขาอาจจะคุยกันว่า ...ให้ทหารโดนไป”
นั่นคือความรู้สึก และ มุมวิเคราะห์ของนายทหารระดับ ผบ.หน่วยรายหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ที่ไม่มั่นใจว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะการเมืองที่อยู่ในวังวนของ “เกม” และ “อำนาจ” ที่ไม่เคยมีหลักประกันเรื่องสัจจะ หรือความจริง จะเลือกให้อยู่ตรงไหนในฉากทางการเมือง
หรือในที่สุด “ทหาร” อาจต้องตกเป็น “จำเลยเดี่ยว” เมื่อผลประโยชน์ทางการเมืองลงตัว !!!
